เบี้ยหงาย
อย่างที่ทราบกันดี ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาท่านปัจจุบัน โชติ ตราชู เข้ามารับตำแหน่งเมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติในการประชุมวันที่ 18 ธ.ค.ที่ผ่านมา หลังจากตำแหน่งนี้ว่างลงด้วยเหตุปลัดฯท่านก่อน พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ยื่นหนังสือลาออกและมีผลไปเมื่อ 9 ธ.ค.2561
การมาของท่านปลัดฯ โชติ ตราชู ถือว่าข้ามห้วย และหลายห้วยด้วย พ่วงอีกหลายเขา เนื่องจากอดีตท่านเคยเป็นข้าราชการที่เติบโตมาจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เมื่อปี 2528 ก่อนโอนย้ายไปสังกัดกรมทรัพยากรธรณี กระทรวงอุตสาหกรรม ในช่วงปฏิรูประบบราชการปี 2545 ขยับเป็นระดับผู้อำนวยการ และขึ้นมาเป็นอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาลในปี 2552 นั่งอยู่ 11 เดือน พรวดขึ้นเป็นปลัด ก.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จากมติ ครม. เมื่อ 24 ส.ค.2553 นับเป็นปลัดกระทรวงที่หนุ่มมากในวัย 48 ขณะนั้น
ก่อนจะมาเจอมรสุมจาก ม.44 ยุคนี้ ยุคนายกฯ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้เข้ากรุในตำแหน่งที่ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อ 30 มิ.ย.2557 และออกจากกรุมาในปัจจุบัน
ซึ่งนับเป็นปลัด ก.การท่องเที่ยวและกีฬาคนที่สองในยุครัฐบาลมาจากการรัฐประหารในปัจจุบัน และทั้งสองคนเป็นปลัดฯที่ไม่ได้ขึ้นมาจากคนใน ก.การท่องเที่ยวและกีฬา ยุคนี้คนในขึ้นยาก ไม่รู้น้อยอกน้อยใจอะไรกันบ้างรึเปล่า
แถมดูมุมไหนก็ไม่ได้มีความใกล้เคียง หรือเชื่อมโยงกันได้อย่างประจักษ์กับความเกี่ยวข้องของพันธกิจในกระทรวงแห่งนี้ที่มีทั้งเรื่องท่องเที่ยวกับกีฬา
แต่ถ้าจะให้เหตุผลว่าเป็นตำแหน่งบริหาร นักบริหารย่อมทำได้ ก็อย่าไปเถียง หรือตั้งแง่อะไรกัน กฎระเบียบเปิดช่องให้ทำได้ก็ว่าไป
ส่วนฝีไม้ลายมือก็ไม่ต้องไปพิจารณา หาจุดตำหนิกันไว้ล่วงหน้า คนเติบโตมาระดับนี้ต้องเก่งพอตัว ต้องให้โอกาสกัน!
เพียงแต่สิ่งที่ต้องเข้ามาทำในตำแหน่งปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา แม้งานในหน้าที่โดยตรง เรื่องกีฬาก็เป็นของ กกท. และกรมพลศึกษา ดูแลกันอยู่ แต่ปลัดฯนั้นก็ต้องมีความเกี่ยวพัน ทั้งในแง่ของการเป็นบอร์ดหลายคณะ ที่ต้องกลั่นกรองในหลายส่วน ยังต้องเป็นผู้ประสาน สนับสนุนช่วยเหลือ เพื่อให้ภารกิจบรรลุเป้าหมาย
ต้องยอมรับว่า เมื่อเป็นผู้มาใหม่ ย่อมต้องหนักมากกว่าผู้อยู่เก่า และใช้เทคนิคมากกว่าปกติ
เริ่มจากทำความรู้จัก และค่อยๆขับเคลื่อน
ก็ไม่รู้ว่าถึงตอนนี้ ท่านปลัดฯรู้จักกับคนกีฬาบ้างรึยัง...
“เบี้ยหงาย”