หน้าแรกแกลเลอรี่

ดูเขาย้อนดูเรา

เบี้ยหงาย

14 ธ.ค. 2561 05:01 น.

โลกเราในปัจจุบันนี้มีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ชนิดต้องปรับตัว ปรับใจ ให้ทันกับความแปรเปลี่ยนที่เกิดขึ้นในแวดวง กีฬาก็เช่นกัน จะหยุดนิ่งอยู่เฉย ย่ำอยู่กับที่กันไม่ได้ ก็ต้องขับเคลื่อน ปรับกระบวนการให้เท่าทันกับสิ่งที่เปลี่ยนไป

การเปลี่ยนแปลงย่อมเป็นโอกาสนำไปสู่สิ่งที่ดีขึ้นหรือใครจะรั้นว่าดีอยู่แล้ว เปลี่ยนทำไม แต่ข้อเท็จจริงก็คือ ถึงดีแต่ไม่ปรับ ไม่เปลี่ยนคนเท่ากับเปิดโอกาสให้คนอื่นขยับ ก้าวผ่าน และในที่สุดก็กลายเป็นผู้ถูกทิ้งห่างออกไปทุกที

กีฬาในปัจจุบันจึงต้องแอ็กทีฟ ฉลาดคิด ฉลาดทำ พัฒนาปรับปรุงเพื่อให้เกิดสิ่งที่ดีกว่ากัน อยู่ตลอดเวลา

อย่างเอเชียนเกมส์ล่าสุดที่อินโดนีเซีย ได้สะท้อนบางสิ่งบางอย่างออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด โดยเฉพาะเจ้าภาพอินโดนีเซีย อดีตนั้นเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่มากในกีฬาภูมิภาคอาเซียน และรวมถึงระดับเอเชียก็โดดเด่นไม่น้อย ก่อนจะค่อยๆลดระดับและห่างหายไป จนถึงขนาดเจ้าซีเกมส์ยังยาก เปลี่ยนมือให้ไทยได้ลุ้นเป็นส่วนใหญ่

แต่เอเชียนเกมส์ที่ผ่านมา อินโดนีเซียทำได้ดีทั้งในฐานะเจ้าภาพ และเกมการแข่งขัน อย่าไปมองแค่การใช้ความเป็นเจ้าภาพเพื่อความได้เปรียบ แต่กีฬาหลายอย่างของอินโดนีเซียเริ่มกลับมาโดดเด่น และนำมาซึ่งการได้เหรียญเป็นกอบเป็นกำ

สิ่งหนึ่งที่เป็นเหตุเป็นผล ซึ่งคนกีฬาผู้คร่ำหวอดของไทยอย่าง “เสธ.ยอด” พล.ต.อินทรัตน์ ยอดบางเตย คีย์แมนยกน้ำหนักไทยและสหพันธ์ยกน้ำหนักนานาชาติ รวมถึงเป็นประธานสหพันธ์สมาคมกีฬาชาติ หรือ “ฟอนซา” องค์กรที่มีสมาชิกเป็นสมาคมกีฬาแห่งประเทศไทยจำนวนมาก เสธ.ยอดชี้ประเด็นไว้น่าฟังว่า วงการกีฬาของอินโดนีเซียยุคนี้เป็นคนรุ่นใหม่เข้ามาทำงานเป็นส่วนใหญ่ มีการสนับสนุนจากภาคธุรกิจ เอกชนอย่างเต็มที่ คนเก่าๆแทบไม่เหลือแล้ว นั่นทำให้วงการกีฬาของอินโดนีเซียเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างผิดตา และอนาคตถ้าไทยเรายังไม่ปรับตัว ยังมีแต่คนเก่าๆทำไปเหมือนเดิมก็ต้องถูกทิ้งห่างไปแน่นอน

ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ กีฬาไทยมีองค์กรหลัก 2 องค์กร กับสมาคมกีฬาแห่งประเทศไทย ที่เป็นตัวขับเคลื่อน สมาคมกีฬาประเภทต่างๆนั้น มีการเปลี่ยนแปลง มีการวางตัวคนรุ่นใหม่เข้ามาทำงานมากน้อยแค่ไหน ลองไล่ชื่อดู มีกี่สมาคมที่มีคนรุ่นใหม่ขับเคลื่อน

เช่นกันองค์กรกีฬาหลัก ในส่วนของภาครัฐก็การกีฬาแห่งประเทศไทย ยุคนี้มีคนใหม่อย่าง ดร.ก้องศักด ยอดมณี เข้ามารับหน้าที่ ซึ่งเป็นคนใหม่จริงๆ ความคิด ความอ่าน ถือว่าแตกต่าง แต่การจะขับเคลื่อนองค์กรและทำงานให้สำเร็จได้มากน้อยแค่ไหน ก็ต้องอาศัยการหล่อหลอม และสานความเข้าใจ ประสานมือกับคนในเพื่อก้าวไปในทิศทางที่วางไว้ให้ได้ นี่ก็เป็นความหวังรอการพิสูจน์กันอยู่

ส่วนองค์กรโอลิมปิกไทยนี่สิ ดูยังไงก็ไม่มีการปรับตัว เปลี่ยนแปลง ยังใช้บริการของผู้อาวุโส แม้ว่าตัวประธานมาใหม่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ แต่ก็ถือว่ารุ่นเก่าและเก๋ามาก มาด้วยบารมีทางการบ้านการเมืองมากกว่าตัวตนความเป็นคน “กีฬา”

ขณะที่ผู้อาวุโสที่แวดล้อมและขับเคลื่อน ทั้งผู้นำพาเข้ามา และผู้ที่นั่งอยู่เก่า จากที่เคยพูดจาภาษาเดียวกันก็ไปกันคนละทางมากขึ้นทุกที จนบรรยากาศอึมครึม กลายเป็นสงครามเย็นรุ่นลายคราม

อันนี้น่าห่วง ทายาทก็ไม่วาง มือก็ไม่ปล่อย ดื้อกันไป!

ขอประทานโทษท่านผู้อาวุโสทั้งหลาย จะอยู่กันอย่างนี้เหรอ แล้วอนาคตกีฬาไทยจะเป็นอย่างไร...

“เบี้ยหงาย”