หน้าแรกแกลเลอรี่

"สามารถ พยัคฆ์อรุณ" ยื่นอุทธรณ์ สวนกลับเมียเก่า ปมแบ่งสินสมรส

ไทยรัฐออนไลน์

26 ก.พ. 2564 16:48 น.

สามารถ พยัคฆ์อรุณ ตำนานยอดมวยไทย ขอลุยยกที่ 6 เมื่อต้องเปิดศึกขึ้นศาลยื่นอุทธรณ์ หลังมีคดีกับ ภรรยาเก่า เรื่องแบ่งมรดกทรัพย์สินจากสินสมรส

วันที่ 26 ก.พ. 64 สามารถ ทิพย์ท่าไม้ (ภพธีรธรรม) หรือ "สามารถ พยัคฆ์อรุณ" อดีตนักมวยมากพรสวรรค์มีประเด็นอีกครั้ง กรณีรักร้าวยากคืนเรือน หลังจาก “น้องหญิง” น.ส.สมหญิง จุมพิมาย หรือ วลัยทิพ ภพธีรธรรม ฝ่ายโจทก์ในฐานะอดีตภรรยายื่นฟ้องศาล กรณีทั้งคู่ตัดสินใจแยกทางกัน และมีการฟ้องร้องต่อศาลชั้นต้น เพื่อเรียกร้องทรัพย์สินแบ่งสินสมรสมาตั้งแต่เดือนกันยายน ปี 2560 เดิมที สามารถ และ น้องหญิง แต่งงานกันโดยปลูกบ้านขึ้น 2 หลังคู่กัน ย่านซอยสายไหม กรุงเทพฯ พร้อมสร้างค่ายมวยขึ้นในพื้นที่ดังกล่าว ชื่อว่า "ค่ายภพธีรธรรม" และใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมา

กระทั่งเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2563 ศาลชั้นต้น (ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง สาขามีนบุรี) พิพากษาให้ สามารถ และ น้องหญิง (ภรรยาเก่า) ร่วมกันแบ่งที่ดินในส่วนของค่ายมวย (ภพธีรธรรมเดิม) เนื้อที่ 1 ไร่ พร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินดังกล่าวคนละกึ่งหนึ่ง หากไม่สามารถแบ่งได้ให้ประมูลขายกัน หรือถ้าตกลงไม่ได้ให้ขายทอดตลาด แล้วนำเงินมาแบ่งกันคนละกึ่งหนึ่ง

ส่วนเรื่องบ้านสองหลังซึ่งปลูกคู่กันในพื้นที่ค่ายมวยย่านซอยสายไหม ให้แบ่งกันคนละหลัง และสำหรับที่ดินที่ จ.ขอนแก่น ซึ่งโจทก์ (หญิง) ซื้อมาระหว่างสมรส แล้วโอนใส่ชื่อมารดาของตัวนั้น ให้โอนร้อยละ 15 ของที่ดิน คืนแก่สามารถ หรือ ให้เป็นเงิน 204,000 บาท (อย่างใดอย่างหนึ่ง)

ล่าสุดจากการเปิดเผยของ สามารถ แจ้งว่า ตนได้มอบหมายให้ทนายยื่นอุทธรณ์ต่อศาลมีนบุรี เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พร้อมยินดีเปิดอกต่อสื่อมวลชนถึงกรณีต้องตกในฐานะจำเลย "จริงๆ แล้วหลังเกิดเรื่องขึ้นศาล มีสื่อมวลชนสอบถามมาเป็นจำนวนมาก และผมคิดว่าควรจะรอให้กระบวนการยุติธรรมสิ้นสุดจึงจะออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงในมุมของผมบ้าง เพราะที่ผ่านมาสังคมรับรู้แต่เพียงเรื่องของเขา (น้องหญิง) ฝ่ายเดียว ซึ่งมันจะกระทบกับคนรอบข้างเยอะ"

"ทุกวันนี้ผมยังมีครอบครัว มีเพื่อนมีลูกศิษย์ฝึกสอนมวย มีสินค้าที่ผมรับเป็นพรีเซนเตอร์ให้ สำหรับตัวผมเองไม่ค่อยสนใจข่าวต่างๆ เท่าไร แต่พอทราบว่าข่าวที่ออกมาทำให้สังคมมองผมในแง่ไม่ดีเยอะมาก ทั้งที่ความจริงยังมีอีกหลายเรื่องที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้"

"แม้ผมจะผ่านปัญหาแบบนี้มาเยอะแล้ว แต่ผมเป็นห่วงความรู้สึกของคนรอบข้างมากกว่า จึงคิดอยากจะออกมาชี้แจงความจริงในมุมของผมบ้าง ซึ่งจะทำให้ทุกอย่างกระจ่างโดยไม่ต้องคาดเดากันไปต่างๆ นานา ซึ่งในช่วงสถานการณ์โควิด-19 แพร่ระบาดแบบนี้ คงไม่เหมาะที่จะเชิญสื่อมวลชนมารับฟังข้อชี้แจง และผมเองไม่ปรารถนาจะเป็นข่าวใหญ่โต จึงขอวอนผ่านสื่อด้วยการนำเอกสารชี้แจงเหล่านี้มาเผยแพร่แทน"

โดนฟ้องอะไรบ้าง ?

ผมโดนเขาฟ้อง 2 คดี และผมฟ้องเขา 1 คดี

1. เรื่องแรก คือ เขาฟ้องผมให้แบ่งสินสมรส แต่เขาขอแบ่งที่ดิน 2 ไร่ ที่ผมใช้เงินส่วนตัวผมซื้อมาเองด้วย เขาอ้างว่าได้ร่วมซื้อที่ดินมากับผม

2. เรื่องที่สอง หลังจากเขาฟ้องผมเรื่องแรกแล้ว พ่อแม่เขาก็ฟ้องผมเข้ามาในคดีเรื่องเดียวกับเขา โดยฟ้องว่าที่ดิน 2 ไร่ที่ผมซื้อมาเป็นสินสอดที่ผมยกให้พ่อแม่เขา ที่ดินจึงเป็นของพ่อแม่เขา ผมก็เลยต้องต่อสู้คดีเรื่องที่ดินทั้งกับเขาและพ่อแม่เขาด้วย

3. เรื่องที่ผมฟ้องเขาเรื่องที่ดินที่ขอนแก่น เพราะว่าที่ดินแปลงนี้ผมให้เขาไปซื้อร่วมกับนักมวยในค่าย ตอนที่ยังอยู่กินกับเขา แต่ซื้อแค่ส่วนหนึ่งไม่ใช่ทั้งแปลงประมาณ 30 % แต่มันก็ต้องเป็นสินสมรส แต่ทำไมเขาไม่นำมาแบ่งให้ผมด้วย ผมมาทราบทีหลังว่าที่ดินที่ขอนแก่นไปเป็นชื่อแม่ของเขาแล้ว ผมจึงฟ้องให้เขาและแม่เขาโอนที่ดินกลับมาเป็นสินสมรสแล้วเอามาแบ่งกันคนละครึ่ง

ทำไมถึงไม่แบ่งสินสมรส ?

ที่บอกว่าผมไม่ยอมแบ่งสินสมรส ไม่เป็นความจริงครับ สินสมรสยังไงก็ต้องแบ่งกัน แต่สิ่งที่เขาขอแบ่ง มันมีที่ดินส่วนตัวที่ผมเอาเงินผมไปซื้อไว้ก่อนจะอยู่กินกับเขาและก่อนจดทะเบียนสมรสกันรวมอยู่ด้วย ซึ่งผมไม่ ยอมให้แบ่งที่ดินเขาก็ไม่ยอม ทำให้ตกลงกันไม่ได้ เลยต้องขึ้นสู่กระบวนการยุติธรรม

ทำไมเขาถึงฟ้องว่าที่ดินเป็นของเขาด้วย ?

เขาฟ้องผมว่า “เขาอยู่กินกับผมเป็นสามีภรรยากันตั้งแต่ปี 2546 แล้วเขาก็ได้ร่วมซื้อที่ดินแปลงนี้มาด้วยกันกับผม เขาจึงมีกรรมสิทธิ์ครึ่งหนึ่ง ซึ่งความเป็นจริง ผมกับเขามาอยู่กินด้วยกันเป็นสามีภรรยา น่าจะช่วงกลางๆ หรือปลายปี 2550 หลังจากผมซื้อที่ดินและปลูกบ้านเสร็จแล้ว

และช่วงปี 2546 ถึงช่วงกลางหรือปลายปี 2550 ผมยังอยู่กินกับแม่ของลูกที่บ้านลาดพร้าวอยู่เลย แล้วพอแม่ของลูกผมออกจากบ้านไป ผมก็อยู่กับลูกๆ หลานๆ พร้อมกับน้องชายและน้องสะใภ้ ผมให้น้องสะใภ้เป็นแม่บ้าน ดูแลเด็กๆ ดูแลบ้านให้ผม ตอนนั้นผมยังต้องนอนห้องเดียวกับลูกเลย เพราะฉะนั้นเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะมาอยู่กินกับผมที่บ้านลาดพร้าวก่อนปี 2550

พอช่วงปี 2549 ผมขายที่ดินที่ระยอง 10 ไร่ ซึ่งเป็นที่ดินที่ผมซื้อตั้งแต่ยังชกมวยไทยอยู่ และผมติดประกาศขายไว้หลายปีแล้วตั้งแต่ยังอยู่กินกับแม่ของลูกผม เพราะกะว่าจะขายเอามาทำค่ายมวยแถวๆ ลาดพร้าว ผมขายที่แปลงนี้ได้เงินมาก้อนหนึ่ง ผมให้เขาเป็นคนเอาเงินไปเข้าบัญชีให้ เป็นคนดูแลเงินให้ผม

ขอเรียนให้ทราบความจริงบางอย่าง ผมเป็นคนที่ทำงานมีรายได้ตั้งแต่ 10 ขวบ พอมีเงินพวกผู้ใหญ่ก็จะคอยเก็บเงิน ดูแลเงินให้ผมตั้งแต่เด็กจนโต จนผมเคยชินในการฝากเงินไว้กับคนอื่นที่ผมไว้ใจ ผมจะใช้เงินผมก็ไปขอไปเบิกเอา

ทำไมถึงยอมโอนยอมใส่ชื่อเขาในโฉนดที่ดินของเราตั้งหลายครั้ง ?

คือช่วงแรกก่อนที่จะอยู่กินด้วยกันและจดทะเบียนสมรสกัน ผมรักและไว้ใจเขามาก เขาบอกกับผมว่าเขาก็รักผม ที่เขาทำทุกอย่างนี่ก็เพื่อรักษาผลประโยชน์ของผมกับลูกๆ ผมทั้งนั้น เขาเป็นคนพูดจาดี เข้าวัดเข้าวา ถือศีล ผมเชื่อจริงๆ ว่าเขาทำเพราะรักษาผลประโยชน์ให้ผม

ตอนนั้นที่ผมยอมให้ใส่ชื่อเขาในที่ดินด้วย เพราะผมคิดแค่ว่าเขาคงอยากมีชื่อในทรัพย์สินเพื่อไปอวดเพื่อนๆ หรือคนในครอบครัวเขาบ้าง และผมก็อยากให้เขาเชื่อใจว่าผมรักเขาจริง ตอนนั้นเขาก็รู้นะว่าผมเป็นคนออกเงินซื้อที่ดินเองทั้งหมด เงินทุกบาททุกสตางค์ที่ผมหามาได้ ผมก็ให้เขาเป็นคนเก็บ เป็นคนเอาเงินไปเข้าธนาคารให้ผม เป็นคนเอาเงินไปจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ

ผมมีหน้าที่หาเงินอย่างเดียว ผมจะใช้เงินผมก็ขอเขา เอกสารต่างๆ เขาก็เป็นคนเก็บ เอกสารการกู้เงินทั้ง 3 ฉบับผมก็ไม่รู้อยู่ที่ไหน ต้องไปถามธนาคารเอา ใบแจ้งหนี้ใบเสร็จรับเงินที่จ่ายทุกๆ งวด ผมก็ไม่เคยได้รับจากธนาคาร

เมื่อถึงเวลาที่ผมต้องรวบรวมเอกสารยื่นเป็นหลักฐานการจ่ายเงินต่อศาล ผมเพิ่งมารู้ว่าเขา ได้ใส่ที่อยู่สำหรับส่งเอกสารไปที่ไหนก็ไม่รู้ ผมไม่รู้จักสักที่ หนี้เงินกู้ทั้ง 3 ฉบับ มีที่อยู่แต่ละที่แตกต่างกันทั้ง 3 ฉบับ และใส่ที่อยู่เหล่านี้ไปบนเอกสารตั้งแต่เริ่มกู้ตั้งแต่แรก ผมงงมาก ไม่รู้ว่าเขาทำแบบนั้นทำไม

ทำไมพ่อแม่เขาถึงฟ้องว่าที่ดินเป็นสินสอด ?

อันนี้ผมงงมาก ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม หลังจากที่เขาฟ้องผมได้เกือบ 1 ปี กำลังจะขึ้นศาลวันรุ่งขึ้น พ่อแม่เขาก็ยื่นฟ้องเข้ามา พ่อแม่เขาอ้างว่าที่ดิน 2 ไร่ที่ผมซื้อเมื่อปี 2549 เป็นของพวกเขา ผมได้ยกที่ดินให้พ่อแม่เขาเป็นสินสอด แล้วพ่อแม่เขาก็ยกให้ลูกกลับมาเพื่อเป็นทุนสร้างครอบครัว

งงไหมครับ ทั้งๆ ที่ลูกสาวฟ้องผมว่า เขาร่วมซื้อที่ดินกับผมมาตอนยังไม่จดทะเบียนสมรสแล้วอ้างว่าที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์รวม แต่พ่อแม่เขาฟ้องว่าที่ดินนั้นผมยกให้เป็นสินสอดแล้ว พ่อแม่เขาเป็นเจ้าของที่ดิน ซึ่งตัวเขาเองฟ้องอย่างหนึ่ง แต่พ่อแม่เขาก็ฟ้องอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งขัดแย้งกันเองแต่เขาก็ไม่คัดค้านกันเองนะครับ มีแต่ผมต้องสู้คดีว่าที่ดินอันนี้เป็นของของผม มันไม่เป็นทั้งกรรมสิทธิ์รวมและไม่เป็นทั้งสินสอด เหนื่อยครับแต่ก็ต้องสู้

ทำไมผมถึงฟ้องเขาเรื่องที่ดินที่ขอนแก่น ?

ก็เพราะเขาฟ้องผมเพื่อขอแบ่งสินสมรส แต่เขากลับไม่เอาสินสมรสทั้งหมดมาแบ่งกัน โดยเฉพาะที่ดินที่ขอนแก่นถามว่าทำไมเขาไม่เอามาแบ่งด้วย เขาคัดค้านมาว่าเป็นของเพื่อนเขาที่ร่วมกันซื้อมากับนักมวยในค่าย ไม่ใช่สินสมรส ผมก็งงว่ามันไม่ใช่สินสมรสได้ยังไง เพราะที่ดินแปลงนี้ผมเป็นคนให้เขาเอาเงินแชร์ที่ผมเล่นกับเพื่อนๆ ไปร่วมซื้อกับนักมวยที่ค่าย

ที่ต้องไปร่วมซื้อที่ดินแปลงนี้เพราะนักมวยในค่ายเขาอยากได้ที่ดินแปลงนี้ แต่เงินไม่พอที่จะซื้อทั้งแปลง ผมเลยช่วยซื้อเพื่อที่นักมวยคนนั้น เขาจะได้มีทรัพย์สินติดตัว ก็ให้ใส่ชื่อเขากับนักมวยในโฉนด เพราะผมไม่ได้ไปด้วย แต่ตอนหลังนักมวยในค่ายจะขายที่ เขาก็มาบอกผมว่าเพื่อนเขาที่อยู่ต่างประเทศจะซื้อ ผมก็คิดว่าเพื่อนเขาคงจะซื้อในส่วนของนักมวยไปก็ไม่ได้คิดอะไร

แต่ตอนเขามาฟ้องผมเพื่อขอแบ่งสินสมรส ผมก็ไม่เห็นว่ามีที่ดินตัวนี้อยู่ด้วยก็ให้ทนายไปสืบถึงรู้ว่า เขาโอนที่ดินไปให้แม่เขาแล้ว ก่อนที่เขาจะฟ้องผม ผมก็ให้ทนายยื่นคัดค้านไป เพราะมันมีส่วนของผมด้วย และให้ทนายฟ้องเอาที่ดินคืนมาจากแม่ของเขา เฉพาะส่วนของเราที่มีอยู่ 30 % ไม่ใช่ฟ้องเอาคืนมาทั้งแปลง

ไม่ยอมเคลียร์หนี้สินจริงไหม ?

สำหรับความคิดผม สินสมรสก็คือสิ่งก่อสร้างที่อยู่บนที่ดินและหนี้สินที่ร่วมกู้กันมาสร้างสิ่งปลูกสร้างต่างๆ แล้วตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา ก็มีแต่กู้ๆๆ แล้วผมก็ต้องทำงานหาเงินจ่ายดอกเบี้ยธนาคารมาตลอด ในเมื่อจะแบ่งก็ต้องแบ่งทั้งทรัพย์สินและหนี้สิน ในเมื่อตกลงกันไม่ได้และสิ่งที่เขาและพ่อแม่เขาฟ้องมามันไม่ถูกต้อง ก็ต้องให้ศาลตัดสินและรอกระบวนการยุติธรรมสิ้นสุด และที่ผ่านมาผมก็จ่ายค่างวดมาตลอด เขาจะช่วยหรือไม่ช่วยจ่าย ผมไม่เคยไปทวง เพราะสุดท้ายถ้าไม่จ่ายธนาคารก็ต้องมาทวงผมและผมก็ต้องจ่ายอยู่ดี

ทุกวันนี้ผมก็ผ่อนอยู่คนเดียว มีไม่มีผมก็ต้องดิ้นรนหามาจ่ายจนได้ ดีที่ลูกสาวผมที่อยู่ต่างประเทศเขาช่วยเวลาผมไม่มี ไปถามธนาคารได้เลย ผมไม่เคยค้างค่างวดสักเดือนเดียว

ไม่ยอมแบ่งส่วนแบ่งค่ายมวย ?

ผมพูดถึงกิจการค่ายมวยนะครับ ไม่ใช่สิ่งก่อสร้าง ค่ายมวยภพธีรธรรมเกิดขึ้นมีขึ้นก็เพราะคำว่า สามารถ พยัคฆ์อรุณ ไม่ได้มีชื่อเสียงด้วยการโพสต์เฟซบุ๊ก 2-3 ปี ผมต้องใช้เวลาในการฝึกซ้อม ทนเหนื่อยทนเจ็บบนเวทีมากี่สิบปีกว่าจะมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับจากคนทั่วไป ลูกค้าที่มาเรียนต่างก็มาเพราะเชื่อมั่นในตัวผม

ลองไปถามค่ายมวยต่างๆ ได้เลย ไม่เคยมีใครรวยเพราะเปิดค่ายมวย แต่ที่ผมยังเปิดอยู่ก็เพราะเป็นสิ่งที่ผมรัก และยังมีอีกกี่ชีวิตที่เขาฝากชีวิตไว้กับผม แล้วค่ายมวยนี้มันก็สร้างบนที่ดินส่วนตัวของผม ที่ดินที่ผมได้เงินมาจากความเจ็บปวดบนเวทีมาตั้งแต่เด็กมาซื้อ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เขาจะแบ่งได้คือสิ่งก่อสร้างบนที่ดินเท่านั้น ซึ่งก็ต้องรอกระบวนการยุติธรรมสิ้นสุด

ตอนนี้กระบวนการยุติธรรมไปถึงขั้นไหน ?

จากการอ่านคำตัดสินของศาลชั้นต้น หลังจากผ่านกระบวนการสืบพยาน ศาลก็ตัดสินให้ที่ 2 ไร่ที่ผมซื้อตั้งแต่แรกเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของผม ไม่ใช่สินสมรสหรือสินสอด แต่มันมีปัญหาตรงที่เขามีชื่อในโฉนด ตอนแรกที่ผมให้เจ้าหน้าที่ที่ดินจดชื่อเขาลงไปในที่ดินด้วยตั้งแต่แรก และมีการมาแบ่งแยกที่ดินและใส่ชื่อเขาไว้อีกทีหลัง ก็ยังมีปัญหาว่าที่ดินบางส่วนเขามีกรรมสิทธิ์และเป็นเจ้าของร่วมกับผมหรือไม่ ซึ่งผมก็ได้ให้ทนายยื่นอุทธรณ์ในประเด็นนี้ต่อไปครับ เพราะผมก็มีหลักฐานว่าได้บอกล้างการให้เขาถือแทนที่ดินส่วนตัวของผมไปแล้วตั้งแต่ต้น

ส่วนคำตัดสินของศาลชั้นต้นที่ผมไม่เห็นด้วย ผมก็ใช้สิทธิ์ตามกฎหมายที่จะยื่นอุทธรณ์ขอความเป็นธรรมต่อไปครับ แต่ในชั้นอุทธรณ์ผมจะขอใช้สิทธิ์เรียกร้องที่ดินของผมคืนเท่านั้น ส่วนทรัพย์สินอื่นเมื่อศาลรับฟังและให้นำมาแบ่งปันกันแล้วผมก็ไม่ติดใจ ผมติดใจแค่อยากเรียกร้องของของผมซึ่งเป็นที่ดินคืนเท่านั้น เพราะที่ดินมันเป็นของของผม ผมจะเอาไว้ให้ลูกผมทั้ง 3 คน เขาไม่มีสิทธิ์

เรื่องที่เขาบอกว่าคุณมีแต่ตัวตอนที่ไปคบกับเขา จริงไหม ?

ก็ลองคิดถึงความเป็นจริงกันก็แล้วกัน ผมมีทรัพย์สินแต่ไม่ได้มากมายอะไร ผมมีงานทำ ผมมีหลักฐานที่มาที่ไปทางการเงิน ผมทำงานหาเงินใช้เองตั้งแต่เด็ก ในชีวิตไม่เคยมีปัญหาเรื่องเงินทองกับใคร มีแต่ช่วยเหลือคนรอบข้างหรือเพื่อนฝูงมาตลอด กับตัวเขาผมก็ยังเคยช่วยไปจ่ายหนี้ให้ที่เขายืมมาจ่ายค่าเทอม 3 แสน แล้วมาบอกว่าผมมีแต่ตัวเนี่ยนะ ผมไม่เคยไปคดโกงใคร ถึงผมจะจบแค่ ป.4 แต่ไม่เคยคิดที่จะไปเอาของของใครมาเป็นของตัวเองแน่นอน ทรัพย์สินทุกอย่างผมได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเองทั้งนั้น

มีอะไรอยากบอกกับสังคมไหม ?

ที่ผ่านมาผมไม่เคยหลบหน้า ผมก็อยู่ของผมตรงนี้ตลอด เพียงแต่ผมไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้เท่าไร เพราะถ้าพูดขึ้นมา มันก็ทำให้ผมโมโหอารมณ์ขึ้น กลัวจะเอาไม่อยู่ เพราะมันยังมีเรื่องที่ผมคาดไม่ถึงอยู่อีกหลายเรื่อง ถ้าผมพูดไปเขาจะเสียหายอีก ผมถึงเงียบดีกว่า สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณสื่อมวลชนและทุกท่านที่ติดตาม ขอบคุณมากๆ ครับ

สำหรับ สามารถ พยัคฆ์อรุณ อดีตแชมป์มวยไทยเวทีลุมพินี 4 รุ่น และอดีตแชมป์โลก WBC (สภามวยโลก) รุ่นซูเปอร์แบนตัมเวต 122 ปอนด์ ก่อนผันตัวเข้าสู่วงการบันเทิง มีงานเพลง มีอัลบั้มของตัวเอง เริ่มจากชุด "ร็อกเหน่อๆ" โด่งดังจากเพลง "อ่อนซ้อม" และต่อมาตั้งแต่ "น้ำพริกปลาทู" , "ยก 6" จนถึง "เมียพี่ไม่รู้" ฯลฯ

นอกจากนั้นยังมีงานแสดงภาพยนตร์มากมาย และยังสร้างประวัติการณ์แปลกๆ คว้ารางวัล "ตุ๊กตาเงิน" จากเรื่อง "นักเลง" ปี 2532 และคว้า "ตุ๊กตาทอง" จากหนังเรื่อง "ขยี้" ปี 2534 (โดยที่ยังไม่เคยฉายให้ใครดูจนถึงปัจจุบัน)

รวมทั้งภาพยนตร์แสดงนำในเรื่อง "มาดพยัคฆ์" ชีวิตจริงของตัวเองบนเส้นทางนักมวย ฉายเปิดตัวในเทศกาลภาพยนตร์อาเซียนที่กรุงเทพฯ ปี 2015 ซึ่งเกือบจะได้ไปฉายในเทศกาลภาพยนตร์ที่เมืองคานส์ ฝรั่งเศส แต่เกิดอุปสรรคในปีนั้นจึงชวดโชว์ผลงานไปอย่างน่าเสียดาย อย่างไรก็ตาม สามารถ มีผลงานภาพยนตร์-ละครมากมายกว่า 200 เรื่อง ถือว่าโด่งดังมากในช่วงประมาณ 30-35 ปีที่ผ่านมา

ปัจจุบัน นอกจากเปิดค่ายสอนมวยไทยแล้ว "ครูมาด" ยังคงรับงานแสดงบนเส้นทางบันเทิง ได้แต่งงานกับ "น้องหญิง" เป็นภรรยาคนที่ 2 หลังจากหย่าร้างกับภรรยาคนแรก (ซึ่งมีลูกด้วยกัน 3 คน จากนั้นตัวเองก็ทำหมัน)

การพบรักกับ "น้องหญิง" ซึ่งอายุห่างกันถึง 20 ปี ได้ทำธุรกิจค่ายมวยด้วยกันมานาน 10 ปี ก่อนจะเกิดปัญหาร้าวฉานด้วยปัจจัยหลายอย่าง และเลิกกันไปเมื่อต้นปี 2560 จากนั้น "น้องหญิง" ได้ฟ้องร้องขอแบ่งสินสมรสจนเป็นข่าวโด่งดังพอสมควร รวมทั้งมีข่าวตำนานยอดมวยไทยมีแฟนสาวคนใหม่ คือ "น้องมอส" ธิดารา วอไธสง (วัย 27 ปี) มีอายุห่างกันถึง 32 ปี เป็นที่อิจฉาของบรรดาหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ทั่วไป เนื่องจากปัจจุบัน "พยัคฆ์มาด" นั้นมีอายุถึง 59 ปีแล้ว