ไทยรัฐออนไลน์
มี 2 คนสะดุ้ง "อโมริม" เผยสาเหตุแมนยูฯ เปลี่ยน "แม็กไกวร์" ลงไปยืนกองหน้า เกมแพ้ฟอเรสต์ ยังจมที่ 13 พรีเมียร์ลีก
วันที่ 2 เมษายน 2568 รูเบน อโมริม ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ให้สัมภาษณ์หลังเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ออกไปแพ้ น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ทีมจอมเซอร์ไพรส์ประจำฤดูกาลนี้ 0-1 จากประตูชัยของเด็กเก่า แอนโธนี อีแลงกา ตั้งแต่นาทีที่ 5
ทำให้ แมนยูฯ ยังอยู่อันดับ 13 บนตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก หลังจากแข่งไป 30 นัด แต่เก็บได้แค่ 37 แต้ม จากผลงานชนะ 10 เสมอ 7 แพ้ 13 ยิงได้แค่ 37 ประตู เสียไป 41 ประตู มีโอกาสจบอันดับต่ำที่สุดในยุคพรีเมียร์ลีก นับตั้งแต่เปลี่ยนชื่อจากดิวิชั่น 1 เดิม ในปี 1992
เกมนี้ รูเบน อโมริม ทำสิ่งที่คาดไม่ถึงด้วยการเปลี่ยนตัว แฮร์รี แม็กไกวร์ ลงไปแทน เลนี โยโร ในนาทีที่ 88 ก่อนดันขึ้นไปเล่นกองหน้า ซึ่งกองหลังทีมชาติอังกฤษเกือบเป็นฮีโร่ทำประตูตีเสมอให้ แมนยูฯ ในช่วงทดเจ็บนาทีที่ 90+7 แต่ถูก มูริลโล สกัดจากเส้นหวุดหวิด
ติดตามหัวข้อนี้
เมื่อดูจากสถิติในเกมนี้ ปรากฏว่า แฮร์รี แม็กไกวร์ ที่ลงมาแค่ 9 นาทีสุดท้าย กลับมีโอกาสลุ้นทำประตู และใกล้เคียงกับการได้ประตูมากกว่า 2 กองหน้าอาชีพอย่าง โจชัว เซิร์กซี ที่ลงเป็น 11 ตัวจริง และ ราสมุส ฮอยลุนด์ ที่ลงมาแทน เซิร์กซี ในครึ่งหลัง ดังนี้
แฮร์รี แม็กไกวร์ - เล่น 9 นาที ยิง 3 ตรงกรอบ 1
โจชัว เซิร์กซี - เล่น 78 นาที ยิง 0 ตรงกรอบ 0
ราสมุส ฮอยลุนด์ - เล่น 52 นาที ยิง 1 ตรงกรอบ 0
ด้าน รูเบน อโมริม เผยสาเหตุที่แมนยูฯ ต้องแก้เกมด้วยการส่ง แฮร์รี แม็กไกวร์ ไปเล่นกองหน้าว่า "หากคุณดูเกมในช่วง 15 นาทีสุดท้าย พวกเขากำลังเล่นเกมรับด้วยผู้เล่น 6 คนในกรอบเขตโทษ"
"เราจึงต้องส่งผู้เล่นเข้าไปในเขตโทษมากขึ้น เราไม่สามารถเข้าไปในกรอบเขตโทษได้ด้วยการประสานงานกัน แฮร์รี แม็กไกวร์ แข็งแกร่งมากในเกมรับ และเมื่อคุณอยู่ในกรอบเขตโทษฝั่งตรงข้าม คุณจะเป็นกองหน้า ไม่ใช่กองหลัง เขาอาจเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดในการเล่นในกรอบเขตโทษ"
"เราพยายามอย่างเต็มที่ มีโอกาสดีๆ หลายครั้ง แต่ในพื้นที่สุดท้าย การจ่ายบอลจังหวะสุดท้าย การแอสซิสต์ในจังหวะสุดท้ายไม่ได้เกิดขึ้น"
"เมื่อเราทำไม่ได้ เราก็ไม่สามารถยิงประตูได้ ฤดูกาลนี้เป็นแบบนี้ เรามีโอกาสยิงประตูมากมาย เรากดดันคู่แข่งให้ไปอยู่ในพื้นที่สุดท้าย แต่เรายังขาดความเฉียบคม"
