หน้าแรกแกลเลอรี่

ยุคทอง "เรือใบสีฟ้า" ยืนหนึ่งพรีเมียร์ลีก

ไทยรัฐฉบับพิมพ์

26 พ.ค. 2567 05:08 น.

หากจะพูดถึงยอดทีมของลีกสูงสุดผู้ดีอังกฤษ ตลอดที่ผ่านมา หลายคนมักจะพูดถึง “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ที่เป็นยอดทีมในยุค 1980–1990 และ “ปิศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก้าวขึ้นมาเป็นยอดทีมต่อในยุค 1990–2000

ซึ่งทั้งสองทีมก็คว้าแชมป์ลีกสูงสุดมากที่สุด โดยแมนฯ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ไปทั้งหมด 20 สมัย ขณะที่ลิเวอร์พูลซิวไป 19 สมัย ซึ่งก็ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าทั้งสองคือ 2 สโมสรยักษ์ใหญ่ของลีกช่วงที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไปก็มักจะมียอดฝีมือที่จะก้าวเข้ามาท้าทายบรรดายักษ์ใหญ่ทั้ง 2 ทีม เพื่อที่จะก้าวขึ้นมาเทียบบารมีของทั้ง 2 สโมสร โดยหลังจากยุค 1990-2000 ที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ครองความยิ่งใหญ่มาอีก 10 ปีถัดมา หรือในยุค 2000- 2010 ก็ยังเป็น “ปิศาจแดง” ที่ยังรักษาความยิ่งใหญ่เอาไว้ได้ต่อเนื่อง โดยคว้าแชมป์ 5 จาก 10 ฤดูกาลในช่วงเวลาดังกล่าว

แต่ก็มี 2 ทีมจากกรุงลอนดอน อย่างอาร์เซนอล กับเชลซี ขยับเข้ามาร่วมวงใน ขอมีเอี่ยวการแบ่งแชมป์ไปบ้าง โดย “ไอ้ปืนใหญ่” ได้ไป 2 สมัย และ “สิงห์ บลู” ได้ไป 3 สมัย เรียกได้ว่ายุคทองของ “ปิศาจแดง” เริ่มใกล้จะหมดลงเต็มทีแล้วหลังจากครองยิ่งใหญ่ยาวนานมาในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา

ถัดมาหลังจากนั้นอีก 10 ปีต่อมา หรือในฤดูกาล 2011-2020 ก็มีหลากหลายทีมที่ก้าวเข้ามาผลัดกันคว้าแชมป์นอกจาก แมนฯยูไนเต็ด (2 สมัย), เชลซี (2 สมัย) และลิเวอร์พูล (1 สมัย) ที่เป็นหน้าเก่าแล้วก็ยังมีหน้าใหม่อย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ (4 สมัย) และเลสเตอร์ ซิตี้ (1 สมัย) ที่เข้ามาร่วมแจมในการเป็นแชมป์ด้วย

เรียกได้ว่ายังไม่มีทีมไหนที่จะก้าวขึ้นมาครองความยิ่งใหญ่แบบเบ็ดเสร็จเท่าไร จะมีแต่ก็ “เรือใบสีฟ้า” ที่ทำได้มากที่สุดถึง 4 สมัยด้วยกัน

แต่นับตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา ความชัดเจนก็เริ่มปรากฏ เมื่อแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก้าวขึ้นมาครอบครองความยิ่งใหญ่ เพราะนับตั้งแต่ปี 2020 ผ่านมา 4 ฤดูกาลก็เป็นทาง “เรือใบสีฟ้า” กวาดแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองทั้งหมด

โดยเฉพาะในฤดูกาล 2023-2024 ที่แมนฯ ซิตี้ ครองแชมป์ไปได้หมาดๆ ด้วยการเฉือนเอาชนะ “ไอ้ปืนใหญ่” อาร์เซนอล ไปเพียงแค่ 2 แต้มนั้น ทำให้ “เรือใบสีฟ้า” สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในวงการลูกหนังผู้ดีด้วยการเป็นทีมแรกที่สามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกหรือลีกสูงสุดเมืองผู้ดีได้ 4 สมัยติดต่อกันได้

ซึ่งเรียกได้ว่าแมนฯ ซิตี้ ได้เดินเข้าสู่ยุคทองของตัวเองได้เป็นที่เรียบร้อย และยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเพียงแค่นี้เท่านั้น

ส่วนหนึ่งของความยิ่งใหญ่ของแมนฯ ซิตี้ ชุดนี้ก็ต้องยกความดีความชอบให้กับเป๊ป กวาร์ดิโอลา กุนซือมากฝีมือชาวกระทิง ที่ก้าวเข้ามารับงานในถิ่น เอติฮัด สเตเดียม ในปี 2016 ก็ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือ

นอกจากฝีมือและด้วยเงินทุนจำนวนมหาศาลทำให้ทางแมนเชสเตอร์ ซิตี้ สามารถก้าวไปสู่แชมป์พรีเมียร์ลีกโดยการใช้เวลาปรับจูนทีมเพียงแค่ 1 ฤดูกาลเท่านั้น ก่อนจะพาทีมผงาดคว้าแชมป์ในฤดูกาล 2017-2018 ทันที

และหลังจากนั้น เป๊ปก็สามารถพาทีมคว้าแชมป์ได้อย่างต่อเนื่อง โดยใน 7 ฤดูกาลล่าสุด “เรือใบสีฟ้า” ก็สามารถคว้าแชมป์มาครองได้ถึง 6 ซีซันด้วยกัน มีเพียงแค่ลิเวอร์พูลเท่านั้นที่ก้าวขึ้นไปคานอำนาจได้ในปี 2019-2020 เท่านั้น

โดย 2 ฤดูกาลล่าสุดนั้น แมนฯ ซิตี้ แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและความเจนจัดในระดับแชมเปียน ที่ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เพราะตามหลังอาร์เซนอลอยู่ตลอด ก่อนจะมาแซงปาดหน้า “เดอะ กันเนอร์ส” คว้าแชมป์มาครองทั้ง 2 ครั้งล่าสุด

และดูจากตัวผู้เล่นที่ “เรือใบสีฟ้า” ที่มีอยู่ในตอนนี้อายุยังไม่เยอะเท่าไร ไม่ว่าจะเป็นเออร์ลิง ฮาแลนด์ (23 ปี), ฟิล โฟเดน (23 ปี), ฮูเลียน อัลวาเรซ (24 ปี), โจสโก กวาร์ดิโอล (22 ปี), รูเบน ดิอาส (27 ปี), แบร์นาร์โด ซิลวา (29 ปี), แจ็ก กรีลิช (28 ปี), โรดรี (27 ปี), เฌเรมี โดกู (21 ปี)

ซึ่งทีมชุดนี้ตัวหลักๆมีเพียงแค่ 2 คน ที่อายุเกินเลข 3 นั่นก็คือ เควิน เดอ บอรยน์ (32 ปี) และ ไคล์ วอล์คเกอร์ (33 ปี) แต่ดูจากสภาพร่างกายแล้วน่าจะลงเล่นได้แบบชิลๆอีก 2-3 ปีเลยทีเดียว

แม้ว่าทั้งหมดจะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาแล้วบางคน 6 สมัยแล้ว 4 สมัยบ้าง 2 สมัยบ้าง หรือบางคนเพิ่งคว้าแชมป์สมัยแรก แต่นักเตะทุกคนก็ยังดูหิวกระหายในชัยชนะ รวมถึงเป๊ป กวาร์ดิโอลา กุนซือเลือดกระทิงก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเบื่อในการพาทีมเดินหน้าชูถ้วยแชมป์

ดูแล้วดีไม่ดีมีโอกาสที่ “เรือใบสีฟ้า” จะเดินหน้าคว้าแชมป์ 5-6-7 สมัยติดต่อกันก็เป็นได้ แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจะทำไม่ได้มากขนาดนั้น

แต่ในทศวรรษนี้ก็ต้องยกให้เป็นยุคทองของ “เรือใบสีฟ้า” แบบไม่มีข้อน่ากังขาแม้แต่นิดเดียว!!

ชานนท์ กล่ำดิษฐ์...เรื่อง

คลิกอ่านคอลัมน์ “Hotsport” เพิ่มเติม