มะระหวาน
ดูท่าปรากฏการณ์ในการใช้จ่ายเงินจำนวนมหาศาลเพื่อการเสริมทัพที่สร้างความสั่นสะเทือนตลาดซื้อขายนักเตะยุโรปของบรรดาทีมดังจากพรีเมียร์ลีกตลอดหลายปีหลังที่ผ่านมา จะจบลง ในไม่ช้านี้
หลังจากทางพรีเมียร์ลีกได้ปิ๊งไอเดียคิดค้นกฎ Spending Cap (สเปนดิง แคป) หรือกฎเพดานใช้จ่ายแบบใหม่ ด้วยการเสนอให้ 20 สโมสร ในพรีเมียร์ลีก ใช้จ่ายทั้งเรื่องของเงินค่าตัว การย้ายทีมนักฟุตบอล, เงินค่าเหนื่อยนักฟุตบอล และเงินส่วนแบ่งให้กับเอเย่นต์ ไม่ให้เกินไปกว่า 5 เท่า ของ สโมสรที่มีรายรับน้อยที่สุดในพรีเมียร์ลีก
ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวจะเป็นเพดานกำหนดค่าใช้จ่ายให้กับบรรดาทีมต่างๆในพรีเมียร์ลีกที่ห้ามใช้เงินเกินเพดานที่กำหนดไว้
ยกตัวอย่างเช่นหากทีมอันดับที่ 20 ของพรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2022-2023 อย่างเซาแธมป์ตัน ซึ่งได้รับค่าส่วนแบ่งลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดที่ 104 ล้านปอนด์ (ประมาณ 4,822 ล้านบาท) เมื่อคูณด้วย 5 เท่า จะเท่ากับ 520 ล้านปอนด์ (ประมาณ 24,114 ล้านบาท)
นั่นหมายความว่าฤดูกาลใหม่ทาง 20 สโมสรพรีเมียร์ลีก ห้ามใช้เงินเกินกว่านี้เด็ดขาด หากใช้เกิน ก็จะถือว่ามีความผิดทันที ซึ่งกฎดังกล่าวนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อบรรดาทีมยักษ์ใหญ่ในลีก
เพราะที่ผ่านมาบรรดาบิ๊กเนมสามารถช็อปปิ้ง ได้อิสระเสรี, จ่ายค่าเหนื่อยนักเตะเท่าไรก็ได้ หรือแม้กระทั่งค่าใช้จ่ายที่จ่ายให้กับเอเย่นต์นักเตะที่จ่ายไปมหาศาล มันไม่สามารถจะทำได้อีกแล้ว
เรียกว่าการออกกฎนี้มาทุกสโมสรไม่ได้เปรียบเสียเปรียบกันมากสักเท่าไร เพราะต่อให้เป็น สโมสรที่ร่ำรวยมหาศาล หรือมีเงินหลักหลายพันล้านปอนด์ ก็จะใช้จ่ายได้ตามที่กำหนดไว้เท่านั้น
ซึ่งทางพรีเมียร์ลีกก็ได้เรียก 20 สโมสรมาร่วมประชุมและร่วมโหวตว่าจะเห็นด้วยกับการใช้งานกฎดังกล่าวนี้หรือไม่ ซึ่งผลออกมาอย่างไรเชื่อว่าท่านผู้อ่านคงเดาได้ไม่ยาก
ผลปรากฏว่ามี 16 สโมสร ที่เห็นด้วยในการนำ กฎนี้มาใช้ และมี 3 สโมสร ที่ไม่เห็นด้วย ประกอบด้วย “ปิศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ “สิงห์ผงาด” แอสตัน วิลลา ส่วน “สิงห์บลู” เชลซี เลือกงดออกเสียง
เมื่อคะแนนออกมาเป็นแบบนี้ส่งผลให้กฎ “Spending Cap” ได้ถูกรับรอง แต่อย่างไรก็ตาม กฎนี้ก็ยังไม่ลงตัวในจุดเรื่องค่าใช้จ่ายว่าจะเป็น 5 เท่า มากกว่านั้นหรือน้อยกว่านั้น จะมีการหารือกันต่อไป
ซึ่งการกำหนดนี้คล้ายๆกับการนำมาใช้ในกีฬา อเมริกันเกมส์ตั้งแต่ทศวรรษ 1980 ไม่ว่าจะเป็น อเมริกันฟุตบอล (เอ็นเอฟแอล), เมเจอร์ลีกเบสบอล (เอ็มแอลบี) และบาสเกตบอล (เอ็นบีเอ) ที่กำหนดเพดานค่าเหนื่อยมานานแล้วก็ทำให้เกมทุกอย่างมันดูสูสีกันมาก
อย่างไรก็ตามกฎ “Spending Cap” นี้จะเริ่มตั้งแต่ฤดูกาล 2025-2026 อย่างแน่นอน
โดยหลังจากนี้ข้อเสนอดังกล่าวจะเข้าสู่การประชุมสามัญประจำปีในเดือนมิถุนายนนี้ ทำให้นี่จะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกที่จะมีการใช้กฎในลักษณะนี้
ก็ต้องมาตามดูกันว่าเมื่อกฎดังกล่าวนี้ใช้จริงๆ ทีมฝ่ายไหนจะได้เปรียบมากกว่ากัน ระหว่างทีมบิ๊กเนม หรือทีมขนาดเล็ก แต่อย่างน้อยๆเชื่อว่าการแข่งขันน่าจะออกมาสนุกมากกว่าเดิมแน่!!
เพราะทุกวันนี้ทีมที่มีเงินเยอะกว่าก็สามารถดึงดูดนักเตะชั้นนำเข้ามาร่วมทีมได้มากกว่าจนทำให้สามารถกวาดแชมป์มาครองได้มากมาย
ถ้ามองอีกแง่มุมหนึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีที่บรรดาทีมยักษ์ใหญ่ที่กวาดแชมป์มามากมายจะได้พิสูจน์ตัวเองว่าพวกเขาเก่งจริง นักเตะเก่งจริง โค้ชเก่งจริง ไม่ใช่เก่งเพราะทุ่มเงินซื้อนักเตะชั้นนำจนคว้าแชมป์ มาครอง
นี่คือบทพิสูจน์ของทีมยักษ์ใหญ่โดยแท้จริง!!
มะระหวาน