หน้าแรกแกลเลอรี่

"สิงห์บลู" คัมแบ็ก

มะระหวาน

15 พ.ย. 2566 04:25 น.

ถ้ามองย้อนกลับไปนับตั้งแต่ “เสี่ยหมี” โรมัน อบราโมวิช มหาเศรษฐีชาวรัสเซีย เข้ามาเทกโอเวอร์เชลซี ในปี 2003 ตั้งแต่นั้นมา “สิงห์บลู” ก็ผงาดก้าวขึ้นมา เป็น “สิงห์” ตัวที่ 4 ที่ก้าวเข้ามาไล่ล่าแชมป์ลีกมาครอง

เนื่องจากตอนนั้นมีเพียงแมนฯ ยูไนเต็ด กับ อาร์เซนอล เท่านั้นที่ผลัดกันคว้าแชมป์ลีกสูงสุดมาครอง ขณะที่ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล แม้ว่าจะไปไม่ถึงแชมป์ในช่วงเวลานั้น แต่ก็ยังมีลุ้นที่จะไปยืนจุดสูงสุดด้วยเช่นกัน

หลังจาก “เสี่ยหมี” เข้ามา เชลซี ก็กวาดแชมป์ไปมากมายไม่ว่าจะเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก 5 สมัย, เอฟเอ คัพ 5 สมัย, ลีก คัพ 3 สมัย, ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก 2 สมัย, ยูโรปา ลีก 2 สมัย และสโมสรโลก 1 สมัย ถือว่ายุคของ “เสี่ยหมี” เป็นยุคที่ดีที่สุดของ “สิงห์บลู” ก็ว่าได้

แต่หลังจากที่ “เสี่ยหมี” มีปัญหาโดนคว่ำบาตรในฐานะที่สนิทกับวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดี ที่ก่อสงครามรุกรานยูเครน จนทำให้โดนบีบขายกิจการที่เขารักที่สุดอย่าง “สิงห์บลู” ไปให้กับกลุ่มทุนชาวมะกันที่มีท็อดด์ โบห์ลี มหาเศรษฐีชาวมะกันเป็นแกนนำ

ทันทีที่โบห์ลีเข้ามาสิ่งแรกที่เค้าทำคือปลดทุกคนที่เกี่ยวข้องกับ อบราโมวิช ออกจากสโมสรให้หมด แม้กระทั่ง โธมัส ทูเคิล กุนซือชาวเยอรมัน ที่เพิ่งพาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก มาหมาดๆ ยังไม่รอด

หลังจากปลดทูเคิลออกก็ดึงตัวของแกรม พอตเตอร์ กุนซือฝีมือดีที่ปั้นไบรท์ตันจนโด่งดังในลีกเข้ามาคุมทัพ “สิงห์บลู” แต่สุดท้ายก็ล้มไม่เป็นท่า เมื่อ พอตเตอร์นั้นไม่เหมาะจะคุมทีมใหญ่จริงๆ จนต้องปลดออกจากตำแหน่งในช่วงโค้งสุดท้ายของซีซันโดยจบซีซัน 2022-2023 อันดับที่ 12 นอกจากไม่ได้แชมป์แล้วยังอดไปเล่นบอลยุโรปอีกด้วย

พอมาในฤดูกาลนี้ เชลซี ได้ดึงตัวของเมาริซิโอ โปเชตติโน นายใหญ่ชาวอาร์เจนไตน์ ที่สร้างชื่อเสียงมาจากการปั้นทอตแนม ฮอตสเปอร์ เข้ามาคุมทัพ พร้อมกับดึงนักเตะชื่อดังเข้ามาร่วมทีมอีกมากมายหนึ่งในนั้นก็คือ มอยเซส ไกเซโด กองกลางทีมชาติเอกวาดอร์ ที่ย้ายมากลายเป็นนักเตะที่แพงที่สุดในลีกผู้ดี

แต่ “สิงห์บลู” ฟอร์มก็ยังลุ่มๆ ดอนๆ เอาแน่นอนอะไรไม่ได้ เพราะนักเตะใหม่หลายต่อหลายคนต้องเสียเวลาปรับตัว เช่นเดียวกับนักเตะที่ดึงมาในช่วงเปิดตลาดรอบสองเดือนมกราคมปี 2022 ก็ยังไม่สามารถปรับตัวได้

ทำให้เชลซี ออกสตาร์ตในซีซันนี้ได้ย่ำแย่แบบสุดๆ 6 นัดในลีก ชนะ 1 เสมอ 2 แพ้ 3 หลังจากนั้นก็สร้างผลงานได้ยอดเยี่ยม 5 นัดต่อมา ชนะ 3 เสมอ 1 แพ้ 1 แต่ก็ยังจมอยู่แถวๆ กลางตารางเหมือนเดิม

แต่สิ่งที่แสดงออกว่าดีขึ้นก็คือรูปเกมของ เชลซี เริ่มเป็นทรงมากขึ้น เสียบอลยาก แถมจังหวะเข้าทำเกมรุกยังค่อนข้างหลากหลายและอันตรายเพิ่มมากขึ้น แถมนักเตะหลายคนก็ปรับตัวเข้ากับลีกผู้ดีได้บ้างแล้ว

ซึ่งคีย์แมนหลักที่ทำให้ “สิงห์บลู” กลับมาน่ากลัวก็คือ โคล พาลเมอร์ กองกลางดาวรุ่งชาวผู้ดี ที่ดึงตัวมาจากแมนฯ ซิตี้ ซึ่งเจ้าตัวเข้ามาเป็นจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายที่ทำให้แนวรุกเชลซีกลับมาน่ากลัวอีกครั้ง

ซึ่งก่อนเกมที่เชลซี พบกับแมนฯ ซิตี้ ทางด้าน เป๊ป กวาร์ดิโอลา นายใหญ่ชาวกระทิงดุของ “เรือใบ” ได้ออกมาเผยก่อนเกมว่า “สิงห์บลู” กลับมาแกร่งอีกครั้งและก็จะกลับมามีลุ้นแชมป์ลีกอีกครั้งในเร็วๆนี้

เชื่อว่าหลายคนที่เห็นเป๊ปให้สัมภาษณ์ก็คงขำเพราะจากผลงานล่าสุด “สิงห์บลู” ยังไม่สู้ดีนักแล้วทำไม “กวาร์ดิโอลา” ถึงออกมายกยอเกินความเป็นจริง

แต่หลังจากจบเกมที่ “สิงห์บลู” เปิดรังเสมอ “เรือใบสีฟ้า” 4-4 มันก็เผยความจริงว่าสิ่งที่เป๊ปพูดนั้นไม่ใช่แค่การอวย มันคือเรื่องจริง ดูได้จากผลการแข่งขันที่ออกมา

เพราะช่วงหลังการที่แมนฯ ซิตี้ จะโดนยิงถึง 4 ตุงแทบจะเป็นไปไม่ได้ แต่ “สิงห์บลู” ทำได้ โดยย้อนกลับไปตอนที่ “เรือใบ” โดนยิงมากสุดในช่วง 2 ปีหลังคือ 3 เม็ดในเกมที่ชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด 6-3 ในเดือนตุลาคมปีที่แล้ว

ซึ่งการที่เชลซี บู๊สู้กับแมนฯ ซิตี้ ได้อย่างสนุกสูสีจนเสมอไป 4-4 นั้น ก็เป็นการส่งสัญญาณให้เพื่อนร่วมลีกรับรู้ไว้ว่า “สิงห์บลู” ตัวเดิมกลับมาแข็งแกร่งและดุดันอีกครั้งแล้ว!!

มะระหวาน

คลิกอ่านคอลัมน์ “ตะลุยฟุตบอลโลก” เพิ่มเติม