ไทยรัฐฉบับพิมพ์
เมื่อวันที่ 30 ธ.ค.2562 เป็นวันที่สาธารณรัฐประชาชนจีนได้แจ้งกับองค์การอนามัยโลกว่า พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายแรกในประเทศจีน ผ่านมาแล้วจนถึง ตอนนี้ 1 ปี กับอีก 4 วัน เชื้อไวรัสโควิด-19 ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลยแม้แต่น้อย จนมาถึงตอนนี้ มีผู้ติดเชื้อไปแล้วมากกว่า 80 ล้านคนทั่วโลก
ซึ่งเจ้าโควิด-19 ก็สร้างความปั่นป่วนให้กับ คนทั้งโลกจนทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกได้รับผลกระทบอย่าง หนัก ประชาชนก็ใช้ชีวิตอย่างลำบากและปรับเปลี่ยนไป หรือที่เรียกการใช้ชีวิตวิถีใหม่ หรือนิวนอร์มอล
วงการกีฬาก็โดนกันถ้วนหน้าเช่นกัน โดยเฉพาะกีฬาฟุตบอลที่ต้องหยุดฟาดแข้งกันมากว่า 3-4 เดือน ก่อน จะกลับมาเตะกันอีกครั้งก็เป็นแบบไม่มีคนดู ทำให้เกิดปัญหาสภาวะทางการเงินกันถ้วนหน้า
โดยเฉพาะในพรีเมียร์ลีก บรรดาทีมยักษ์ใหญ่ เงินหนาอย่างเชลซี, แมนฯ ซิตี้, แมนฯ ยูไนเต็ด, อาร์เซนอล หรือลิเวอร์พูล แชมป์เก่าก็กระอักเช่นกัน เพราะรายได้เข้ามาหล่อเลี้ยงสโมสรนั้นมันน้อยลงไปเยอะ ทำให้สโมสรต่างๆต้องเร่งหากลยุทธ์เพื่อที่จะ ประคองสโมสรเอาไว้ให้ได้
เรื่องนอกสนาม โควิด-19 ก็ทำป่วนไปแล้วในสนามก็ทำป่วนเช่นกัน
เพราะโควิด-19 เกมฟุตบอลหยุดพักมา 3-4 เดือน ทำให้โปรแกรมในฤดูกาล 2019-2020 การ แข่งขันมาแน่นเอี้ยดกันในช่วงท้ายปี 2020 ต่อยาวจนถึงปี 2021
ทำให้การลดช่องห่างของคะแนนนั้นมีน้อยลงมาก
ซึ่งทำให้การลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกกลับมาเปิดกว้างและลุ้นสนุกอีกครั้ง
ก่อนซีซัน 2020-2021 จะเปิดฉากขึ้น “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล แชมป์เก่าคือตัวเต็งที่จะป้องกันแชมป์เอาไว้ได้ เช่นเดียวกับ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ “สิงห์บลู” เชลซี ก็ถือว่าเป็นผู้ท้าชิงอันดับ 1 และ 2
บรรดากูรูเดาแต้มระหว่างทีมที่ลุ้นแชมป์อันดับ 1-3 จะทิ้งห่างอันดับอื่นๆไปอย่างขาดลอย เพราะด้วย ขุมกำลัง หรือศักยภาพนักเตะเหนือกว่าบรรดาทีมอื่นๆ อยู่พอสมควร
แต่พอเตะไปเตะมาบรรดาทีมที่รั้งอยู่หัวตาราง ก็มีบรรดาทีมม้านอกสายขึ้นมาเกาะกลุ่มอยู่ด้วย ไม่ว่า จะเป็น “ทอฟฟี่สีน้ำเงิน” เอฟเวอร์ตัน, “จิ้งจอกสยาม” เลสเตอร์ ซิตี้ หรือแม้กระทั่ง “นักบุญ” เซาแธมป์ตัน ที่ฟอร์มร้อนอยู่ช่วงหนึ่งจนขึ้นไปรั้งตำแหน่งจ่าฝูงมาแล้ว
ขณะที่ช่วงแรกๆ บรรดายักษ์ใหญ่อย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หรือแม้กระทั่ง อาร์เซนอล ก็หล่นไปอยู่โซนครึ่งหลังของตารางอยู่ช่วงเวลานึง แบบที่ไม่คิดว่าจะได้เห็น
แต่ตอนนี้ 2 ทีมดัง จากเมืองแมนเชสเตอร์ ก็ไต่อันดับกลับมาได้แล้วโดยเฉพาะ “ปิศาจแดง” ที่ฟอร์มร้อนจนกลับมารั้งรองจ่าฝูง ส่วน “เรือใบสีฟ้า” ก็มาอยู่ในท็อปเทนแล้ว
ด้วยโปรแกรมที่ถี่ยิบบวกกับข้อจำกัดของพรีเมียร์ลีกที่เปลี่ยนตัวได้เพียงแค่ 3 รายนั้น ทำให้ บรรดาทีมใหญ่ๆนั้นเสียเปรียบอยู่พอสมควร
เพราะได้พักน้อยเมื่อยิ่งเตะถี่เข้าอาการบาดเจ็บ และอาการล้าก็มีให้เห็นมากกว่าบรรดาทีมเล็กๆที่ไม่มี โปรแกรมเตะในเวทียุโรปที่ได้พักมากกว่า
จึงไม่น่าแปลกใจว่าทีมระดับกลางๆจะทำผลงาน ได้ดีและคอยตัดแต้มบรรดาทีมใหญ่ๆได้อยู่ตลอด
ดูได้จาก 2 นัดล่าสุด ลิเวอร์พูล ที่แม้ว่าจะมี ตัวเจ็บอยู่พอสมควร แต่โดยรวมก็ยังเหนือกว่าคู่ต่อสู้ เยอะ แต่ก็ทำได้แค่เสมอกับ เวสต์บรอมวิช (รองบ๊วย) 1-1 และเสมอ นิวคาสเซิล (อันดับ 14) 0-0 เท่านั้น แถมก่อนหน้านี้ “หงส์แดง” ก็เสมอกับฟูแลม กับ ไบรท์ตัน มาก่อนแล้ว
แค่ 4 นัด ลูกทีมของเจอร์เกน คลอปป์ โยนทิ้ง ไปแล้วถึง 8 คะแนนด้วยกัน ทั้งๆที่มันน่าจะต้องชนะ ทั้งหมดด้วยซ้ำไป
เช่นเดียวกับเชลซีที่โดนทั้งเซาแธมป์ตัน, แอสตัน วิลลา, เอฟเวอร์ตัน และวูล์ฟแฮมป์ตัน เตะตัดขามาหมดแล้ว
ส่วนแมนฯซิตี้ ก็โดนทั้งลีดส์, เวสต์แฮม, เวสต์บรอมวิช ก็สกัดดาวรุ่งมาเช่นเดียวกัน
เรียกได้ว่าในฤดูกาลนี้พรีเมียร์ลีกเป็นฤดูกาลที่จะสู้กันอย่างสนุกกว่าที่คาดหวังไว้ก่อนหน้าที่คิดเอากันไว้ว่าอาจจะมีทีมใดทีมหนึ่งที่ทำแต้มทิ้งห่างและคว้าแชมป์แบบม้วนเดียวจบเหมือนลิเวอร์พูล ทำเอาไว้เมื่อซีซันก่อน
ทำให้สิ่งที่หลายคนคาดการณ์เอาไว้ก่อนหน้านี้ ทีมไหนจะเข้าวิน ทีมไหนที่คว้าโควตายุโรป เริ่มไม่เป็น ดังหวังเสียแล้ว
ก็เป็นเพียงเพราะเชื้อไวรัสโควิด-19 เพียงแค่ ตัวเดียวเท่านั้น ที่ทำให้ปฏิทินการแข่งขันออกแนวบิดๆ เบี้ยวๆ เตะถี่ยิบจนนึกว่านักเตะเป็นเครื่องจักรกล
แถมยังทำให้จากทีมยักษ์ใหญ่ก็กลายเป็นทีม ระดับกลาง หรือทีมระดับล่างก็กลายเป็นทีมระดับกลาง ต่อกรกับทีมใหญ่ได้อย่างสนุก
แม้ว่าสุดท้ายทีมแชมป์จะกลายเป็นทีมหน้าเดิมๆที่เคยได้มาก่อนหน้านี้
แต่แต้มที่เคยทิ้งห่างกันเป็นหลักสิบ เหลือเพียง แค่หลัก 3-5 แต้ม เรียกได้ว่าใครพลาดก็มีโอกาสร่วงมาจากบัลลังก์ได้ตลอดเวลา
ซึ่งพวกเขาก็จะได้รู้ว่าการเป็นแชมป์ในยุคโควิดครองเมืองแบบนี้ มันหนักหนาสาหัสแค่ไหน กว่าจะก้าวขึ้นไปสู่จุดสูงสุดได้
หรือดีไม่ดีเราอาจจะเห็นแชมป์หน้าใหม่กลาย เป็นทีมรองที่ไม่มีโปรแกรมการแข่งขันฟุตบอลยุโรปก็เป็นไปได้เช่นกัน
แต่สุดท้ายมันก็เป็นกำไรของแฟนบอลหรือผู้ชมที่ได้ดูเกมการแข่งขันอย่างสนุกคู่คี่สูสีมีลุ้นกันเกือบทุกเกมไม่จืดชืดขาดลอยแบบที่ผ่านมา
ก็ต้องมาตามดูกันว่า พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้ จะจบลงอย่างไร??
ชานนท์ กล่ำดิษฐ์