ไทยรัฐออนไลน์
ค่ำคืนของวันที่ 25 มิถุนายนที่ผ่านมา "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ บุกไปพลาดท่าปราชัยให้กับ "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี ถึงถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ 1-2 ส่งผลให้ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล ภายใต้การนำทีมของ เยอร์เกน คลอปป์ ผู้จัดการทีมชาวเยอรมัน คว้าแชมป์ "พรีเมียร์ลีก อังกฤษ" มาครองได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร และถือเป็นแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกในรอบ 30 ปีเลยทีเดียว จนทำให้บรรดาแฟนบอลของพวกเขาต่างออกมาเฉลิมฉลองทั่วเมือง และนี่คือบทสรุปของการย้อนลำดับเหตุการณ์สำคัญตลอดช่วงระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมาของพวกเขา
ฤดูกาล 1989-1990
"หงส์แดง" ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษ (ดิวิชั่น 1 เดิม) ซึ่งเป็นสมัยที่ 18 ของสโมสร ภายใต้การคุมทัพของ เคนนี ดัลกลิช ซึ่งฤดูกาลนี้พวกเขาการันตีเข้าป้ายคว้าแชมป์ลีกก่อนจะจบซีซั่นถึง 2 นัด ซึ่งเกมที่เปิดบ้านเอาชนะ "ทหารเสือราชินี" ควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ส 2-1 จากการทำประตูของ เอียน รัช และ จอห์น บาร์นส์ (จุดโทษ) ในวันที่ 28 เมษายน 1990 ซึ่งผลงานในฤดูกาลนั้น ยอดทีมแห่งถิ่น แอนฟิลด์ คว้าชัยชนะไปได้ 23 นัด เสมอ 10 นัด แพ้ 5 นัด มี 79 คะแนน และใครจะรู้หล่ะว่าครั้งนี้คือครั้งสุดท้ายที่พวกเขาเป็นแชมป์ลีกสูงสุด
ขุนพลที่ถือว่าเป็นผู้เล่น 11 ตัวจริงในทีมชุดนั้นประกอบไปด้วย บรูซ กร็อบเบลาร์ (GK) - แบร์รี เวนิสัน, อลัน แฮนเซน, เกล็นน์ ไฮเซน, สตีฟ สตอนตัน, สตีฟ แม็คมาน, รอนนี วีแลน, เรย์ เฮาจ์ตัน, จอห์น บาร์นส์, ปีเตอร์ เบียร์ดสลีย์ และ เอียน รัช
ตุลาคม 1992
เอียน รัช กลายเป็นดาวยิงสูงสุดของสโมสรคนใหม่แทน โรเจอร์ ฮันท์ หลังจากยิงประตูที่ 287 ในสีเสื้อ “หงส์แดง” สุดท้าย “รัชชี” ทำสถิติไว้ที่ 346 ประตู ก่อนอำลาทีมในปี 1996
3 เมษายน 1996
เกมที่ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเฉือนชนะ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด แบบสุดมัน 4-3 ชนิดที่พลิกไปพลิกมาตลอดทั้งเกม ซึ่งแมตช์นี้ได้รับการโหวตให้เป็นเกมแห่งทศวรรษ 1990
กรกฎาคม 1998
“หงส์แดง” แต่งตั้ง เชราร์ อุลลิเยร์ เข้ามาเป็น “กุนซือคนคู่” ร่วมกับ รอย อีแวนส์ ผู้จัดการทีมคนเดิม แต่ได้ทำงานด้วยกันเพียง 4 เดือน อีแวนส์ ก็ลาออก หลังตกรอบ 4 ลีกคัพ ก่อนที่ อุลลิเยร์ จะขึ้นมาคุมทีมแต่เพียงผู้เดียว
ฤดูกาล 2000-2001
หลังจาก อุลลิเยร์ อยู่ในถิ่นแอนฟิลด์เป็นปีที่ 3 และเป็นฤดูกาลที่ 2 ที่คุมทีมแบบเต็มตัว กุนซือชาวฝรั่งเศสก็พา ลิเวอร์พูล คว้า 3 แชมป์บอลถ้วย (ลีกคัพ, เอฟเอ คัพ, ยูฟ่า คัพ) และยังจบอันดับ 3 พรีเมียร์ลีก ตีตั๋ว ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1985 ซึ่ง “หงส์แดง” ถูกแบนจากถ้วยยุโรป 6 ปีจากเหตุโศกนาฏกรรมที่ เฮย์เซล สเตเดียม
ฤดูกาล 2001-2002
แม้โรคหัวใจจะถามหา อุลลิเยร์ จนต้องให้มือขวาอย่าง ฟิล ธอมป์สัน คุมทีมแทนนานถึง 5 เดือน แต่ผลงานยังไม่สะดุด สุดท้าย ลิเวอร์พูล จบที่ 2 ของพรีเมียร์ลีก ดีที่สุดนับตั้งแต่ได้รองแชมป์ดิวิชั่น 1 เดิม เมื่อฤดูกาล 1990-1991
ฤดูกาล 2004-2005
เมื่อ อุลลิเยร์ สิ้นมนต์ขลัง ก็ถึงเวลาของ ราฟา เบนิเตซ กุนซือความหวังใหม่จาก บาเลนเซีย ที่กำลังมือขึ้น ก่อนที่ “เอล บอส” จะพา ลิเวอร์พูล สร้าง “ปาฏิหาริย์ที่อิสตันบูล” ในศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก รอบชิงชนะเลิศ โดยพลิกจากตาม เอซี มิลาน 0-3 ในครึ่งแรก กลับมาตีเสมอ 3-3 โดยได้ 3 ประตูภายในเวลาแค่ 6 นาที ก่อนได้ เจอร์ซี ดูเด็ค เป็นฮีโร่เซฟอย่างเหนียวหนึบ ทั้งในเกมและในการดวลจุดโทษตัดสินจนกลับมาชนะ 3-2 พร้อมคว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 5 ของสโมสรอย่างมหัศจรรย์
ฤดูกาล 2005-2006
แม้จะไม่ใช่ซีซันที่ดีที่สุด แต่ 1 แชมป์ที่ได้มาอย่าง เอฟเอ คัพ ก็ควรค่าแก่การจดจำ เพราะในรอบชิงชนะเลิศ “หงส์แดง” ต้องตามหลัง เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ตลอด ทั้งสกอร์ 0-2 และ 2-3 แต่ก็ได้ลูกยิงโกงความตายของ สตีเวน เจอร์ราร์ด ในช่วงทดเจ็บ ก่อนที่ เปเป เรนา จะเซฟได้ถึง 3 ครั้งในการดวลจุดโทษ คว้าแชมป์อย่างเหลือเชื่ออีกครั้ง
ฤดูกาล 2006-2007
ลิเวอร์พูล เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในครั้งใหญ่ เมื่อ ทอม ฮิคส์ และ จอร์จ ยิลเลตต์ 2 นักธุรกิจชาวอเมริกันเข้ามาเทคโอเวอร์สโมสรจาก เดวิด มัวร์ส แต่ผลงานในสนามยังคงน่าพอใจ เข้ารอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ด้วยฝีมือของ ราฟา ได้อีกครั้ง ทว่าหนนี้ไม่สมหวัง ถูก เอซี มิลาน คู่ปรับเก่าชำระแค้น
ฤดูกาล 2008-2009
ด้วยพลานุภาพของคู่หูทองคำอย่าง สตีเวน เจอร์ราร์ด กับ เฟร์นานโด ตอร์เรส ทำให้ “หงส์แดง” บินสูงในพรีเมียร์ลีก เก็บได้ถึง 86 คะแนน มากที่สุดของสโมสรในยุคพรีเมียร์ลีก ณ เวลานั้น แต่น่าเสียดายที่ได้แค่รองแชมป์ต่อจากคู่รักคู่แค้นอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่คว้าแชมป์จากการทำแต้มมากกว่าแค่ 4 คะแนน
ตุลาคม 2010
ลิเวอร์พูล เข้าใกล้กับคำว่า “ล้มละลาย” มากที่สุด จากการบริหารอันล้มเหลวของ ทอม ฮิคส์ และ จอร์จ ยิลเลตต์ ซึ่งนอกจากจะไม่สร้างกำไรให้สโมสร ยังก่อหนี้จนท่วมหัว ถึงขั้นที่ว่าหากชำระหนี้ 237 ล้านปอนด์ไม่ทันเส้นตาย ก็จะโดนปรับตกชั้นไปอยู่ในลีกวัน และถูกควบคุมกิจการ
แต่โชคยังดีที่มีอัศวินขี่ม้าขาวอย่าง จอห์น ดับเบิลยู เฮนรี และ ทอม เวอร์เนอร์ ที่นำกลุ่มทุน “นิวอิงแลนด์ สปอร์ตส เวนเจอร์ส” (เฟนเวย์ สปอร์ตส กรุ๊ป ในปัจจุบัน) หอบเงิน 300 ล้านปอนด์ ซื้อกิจการมาบริหารแทน ซึ่งการเข้ามาของ เฮนรี และ เวอร์เนอร์ ในครั้งนี้เหมือนเป็น “ฟ้าหลังฝน” ของสโมสร
ฤดูกาล 2013-2014
หลังหมดปัญหาหนี้สินแล้ว “หงส์แดง” ก็กลับมาเข้าใกล้ตำแหน่งแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกในรอบ 24 ปี ในยุคของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ภายใต้ขุมกำลังอย่าง สตีเว่น เจอร์ราร์ด, หลุยส์ ซัวเรซ, ฟิลิปเป คูตินโญ, ดาเนียล สเตอร์ริดจ์ และดาวรุ่งพุ่งแรงอย่าง ราฮีม สเตอร์ลิง
27 เมษายน 2014
แต่โชคชะตาก็เล่นตลกอีกครั้ง เมื่อ “กัปตันสตีวีจี” กลับลื่นเสียหลักแบบไม่มีใครคาดคิด จนถูก เดมบา บา ฉกบอลเข้าไปยิงประตูก่อนแพ้ เชลซี คาบ้าน 0-2 ในเกมชี้ชะตาช่วงโค้งสุดท้าย จากนั้นพวกเขาก็มาตกม้าตาย เสมอ คริสตัล พาเลซ 3-3 ก่อนหัวใจสลายได้เพียงรองแชมป์ โดยแพ้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แค่ 2 คะแนน
8 ตุลาคม 2015
“หงส์แดง” แต่งตั้ง เยอร์เกน คลอปป์ เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ หลังปลด ร็อดเจอร์ส ที่พาทีมร่วงไปอยู่อันดับ 10 ในช่วงออกสตาร์ตพรีเมียร์ลีกได้เพียง 8 นัด ออกจากตำแหน่ง
ฤดูกาล 2015-2016
แค่ซีซันแรกที่เข้ามาทำงาน คลอปป์ ก็พาทีมคว้ารองแชมป์ยูโรปาลีก และรองแชมป์ลีก คัพ แม้จะได้แค่อันดับ 8 ในพรีเมียร์ลีกก็ตาม
ฤดูกาล 2017-2018
ซีซันที่ 3 ของ คลอปป์ ในรั้วแอนฟิลด์ ลิเวอร์พูล เริ่มรักษาพื้นที่ไปเล่น ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ได้ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 และฤดูกาลนี้ก็ผงาดเข้ารอบชิงชนะเลิศอีกด้วย แต่สุดท้ายไปไม่ถึงดวงดาว หลังจากต้องมาเสีย โม ซาลาห์ ดาวซัลโวตัวความหวังของทีม จากการถูก เซร์คิโอ รามอส ล็อกแขนล้มจนเจ็บ บวกกับความผิดพลาดแบบไม่น่าเชื่อของผู้รักษาประตูอย่าง ลอริส คาริอุส ที่นำไปสู่การเสีย 2 ลูกแบบ “หมูหก” จนแพ้ เรอัล มาดริด 1-3
ฤดูกาล 2018-2019
การเสริมทัพแบบถูกจุดของ คลอปป์ ทำให้ทีมลงตัวถึงขีดสุด ทั้งการทุ่มเงินคว้า อลิสซง เบ็คเกอร์ มาเฝ้าเสา, กระชาก เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ มาเป็นเสาหลักในแนวรับ บวกกับ 3 ประสานในแดนหน้าอย่าง โม ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน และ โรแบร์โต ฟีร์มิโน ที่ยิ่งเล่นยิ่งเข้าขา ผลักดันให้พวกเขากลับมาเป็น “เครื่องจักรสีแดง” อันน่าเกรงขาม
พฤษภาคม 2019
- รองแชมป์พรีเมียร์ลีกที่ทำแต้มสูงสุด
ซีซั่นนี้ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล เก็บไปถึง 97 คะแนนในพรีเมียร์ลีก แต่...ยังดีไม่พอที่จะโค่น "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ภายใต้การคุมทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา เทรนเนอร์ชาวสเปน ที่ปาดหน้าคว้าแชมป์ไปแบบเจ็บแสบ ด้วยการเฉือนเพียงแค่ 1 คะแนน ทั้งที่พลพรรค "เดอะ ค็อป" พลาดท่าปราชัยพ่ายแพ้เพียงแค่ 1 นัดเท่านั้น น้อยกว่ายอดทีมสีฟ้าแห่งเมืองแมนเชสเตอร์ ที่พุ่งชนกับความปราชัยไปถึง 4 นัดด้วยกัน แต่ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ลูกทีมของ เยอร์เกน คลอปป์ ต้องชวดแชมป์นั้นเป็นเพราะว่าพวกเขาเสมอไปถึง 7 นัด
- คืนมหัศจรรย์ที่แอนฟิลด์ สู่แชมป์ยุโรปสมัยที่ 6
เส้นทางของ ลิเวอร์พูล ในศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก เกือบสิ้นสุดลงในรอบรองชนะเลิศ เมื่อถูก บาร์เซโลนา เปิดบ้านไล่ต้อนกลับอังกฤษถึง 3-0 ในเลกแรก จากนั้นเลกที่ 2 ก็ขาดตัวความหวังทั้ง ซาลาห์ และ ฟีร์มิโน ที่เจ็บอีก จนต้องพึ่งพาอะไหล่อย่าง ดิว็อค โอริกี และ เซอร์ดาน ชากิรี
แต่ลูกทีมของ คลอปป์ ก็ช่วยกันสร้าง “ค่ำคืนมหัศจรรย์ที่แอนฟิลด์” ขึ้นมาจนได้โดยเอาชนะ “เจ้าบุญทุ่ม” แบบทบต้นทบดอกถึง 4-0 พลิกนรกกลับมาเข้ารอบชิงชนะเลิศอย่างยิ่งใหญ่ ก่อนจัดการ สเปอร์ส เพื่อนร่วมศึกพรีเมียร์ลีกได้แบบไม่ยากเย็น 2-0 เถลิงแชมป์ยุโรปสมัยที่ 6 เป็นผลสำเร็จ
ฤดูกาล 2019-2020
หนนี้ ลิเวอร์พูล เข้าใกล้กับถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีกมากที่สุด เพราะพวกเขายังแข็งแกร่งเสมอต้นเสมอปลาย สวนทางกับ แมนฯ ซิตี้ คู่ปรับหมายเลข 1 ที่สะดุดครั้งแล้วครั้งเล่า แม้จะเกิดอุบัติเหตุกับ “หงส์แดง” แค่ครั้งเดียวในเกมแพ้ วัตฟอร์ด 0-3 แต่ก็ยังทิ้งห่างถึง 25 คะแนนอยู่ดี
แม้พรีเมียร์ลีกจะต้องหยุดกลางคัน เพราะดันมีโรคโควิด-19 แพร่ระบาดทั่วโลกจนต้องพักนานถึง 3 เดือน แต่เมื่อลีกกลับมารีสตาร์ตอีกครั้ง “หงส์แดง” ก็สามารถปิดบัญชีคว้าแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกในรอบ 30 ปีที่พวกเขารอคอยมานานได้เสียที...โดยไม่มีอะไรกั้น
ทำเนียบโค้ช ลิเวอร์พูล ตั้งแต่ได้แชมป์ลีกสูงสุดครั้งสุดท้าย (เมื่อปี 1990)
เคนนี ดัลกลิช (สก็อตแลนด์)
คุมทีมระหว่างปี 1985 - 1991
คุมทีมทั้งหมด 307 นัด ชนะ 187 เสมอ 78 แพ้ 42 นัด
ทำได้ 732 เสีย 332 ประตู
เปอร์เซ็นต์การชนะ 60.91%
ความสำเร็จ : แชมป์ฟุตบอล ดิวิชั่น 1 ทั้งหมด 3 สมัย 1985-86, 1987-88, 1989-90, แชมป์เอฟเอ คัพ 2 สมัย 1985-86, 1988-89, ฟุตบอลลีก ซูเปอร์คัพ 1 สมัย 1986-87, เอฟเอ แชริตี ชิลด์ (คอมมูนิตี ชิลด์) 1988, 1989, 1990
รอนนี โมแรน (อังกฤษ)
คุมทีมระหว่างปี 1991-1991
คุมทีมทั้งหมด 10 นัด ชนะ 4 เสมอ 1 แพ้ 5
ทำได้ 20 เสีย 16 ประตู
เปอร์เซ็นต์การชนะ 40.00%
ความสำเร็จ : ไม่มีความสำเร็จ
แกรม ซูเนสส์ (สกอตแลนด์)
คุมทีมระหว่างปี 1991-1994
คุมทีมทั้งหมด 157 นัด ชนะ 66 เสมอ 45 แพ้ 56 นัด
ทำได้ได้ 248 เสีย 186 ประตู
เปอร์เซ็นต์การชนะ 42.04%
ความสำเร็จ : แชมป์ เอฟเอ คัพ 1991-92
รอย อีแวนส์ (อังกฤษ)
คุมทีมระหว่างปี 1994-98
คุมทีมทั้งหมด 226 นัด ชนะ 117 เสมอ 56 แพ้ 53 นัด
ทำได้ 375 เสีย 216 ประตู
เปอร์เซ็นต์การชนะ 51.77%
ความสำเร็จ : ลีก คัพ 1994-95
รอย อีแวนส์ (อังกฤษ) & เชราร์ อุลลิเยร์ (ฝรั่งเศส)
คุมทีมร่วมกันระหว่าง 16 กรกฎาคม ถึง 12 พฤศจิกายน
คุมทีมทั้งหมด 18 นัด ชนะ 7 เสมอ 6 แพ้ 5 นัด
ทำได้ 33 เสีย 20 ประตู
เปอร์เซ็นต์การชนะ 38.89%
ความสำเร็จ : ไม่มีความสำเร็จ
เชราร์ อุลลิเยร์ (ฝรั่งเศส)
คุมทีมระหว่างปี 1998-2004
คุมทีมทั้งหมด 307 นัด ชนะ 160 เสมอ 73 แพ้ 74 นัด
ทำได้ 516 เสีย 298 ประตู
เปอร์เซ็นต์การชนะ 52.12%
ความสำเร็จ : เอฟเอคัพ 2000-01, ลีก คัพ 2000-01, 2002-03, เอฟเอ แชร์ลิตี ชิลด์ (คอมมูนิตี ชิลด์) 2001, ยูฟ่า คัพ 2000-01, ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ 2001
ราฟาเอล เบนิเตซ (สเปน)
คุมทีมระหว่างปี 2004-2010
คุมทีมทั้งหมด 350 นัด ชนะ 194 เสมอ 77 แพ้ 79 นัด
ทำได้ 585 เสีย 302 ประตู
เปอร์เซ็นต์การชนะ 55.43%
ความสำเร็จ : เอฟเอ คัพ 2005-06, เอฟเอ แชร์ลิตี ชิลด์ (คอมมูนิตี ชิลด์) 2006, ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 2004-05, ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ 2005
รอย ฮอดจ์สัน (อังกฤษ)
คุมทีมระหว่างปี 2010-2011
คุมทีมทั้งหมด 31 นัด ชนะ 13 เสมอ 9 แพ้ 9 นัด
ทำได้ 41 เสีย 33 ประตู
เปอร์เซ็นต์การชนะ 41.94%
ความสำเร็จ : ไม่มีความสำเร็จ
เคนนี ดัลกลิช (สกอตแลนด์) คุมทีมครั้งที่ 2
คุมทีมระหว่างปี 2011-2012
คุมทีมทั้งหมด 74 นัด ชนะ 35 เสมอ 17 แพ้ 22 นัด
ทำได้ 115 เสีย 74 ประตู
เปอร์เซ็นต์การชนะ 47.30%
ความสำเร็จ : ลีก คัพ 1 สมัย 2011-12
เบรนแดน ร็อดเจอร์ส (ไอร์แลนด์เหนือ)
คุมทีมระหว่างปี 2012-2015
คุมทีมทั้งหมด 166 นัด ชนะ 83 เสมอ 41 แพ้ 42
ทำได้ 293 เสีย 201 ประตู
เปอร์เซ็นต์การชนะ 50.00%
ความสำเร็จ : ไม่มีความสำเร็จ
เยอร์เกน คลอปป์ (เยอรมนี)
คุมทีมระหว่างปี 2015 - ปัจจุบัน
คุมทีมทั้งหมด 258 นัด ชนะ 156 เสมอ 59 แพ้ 43
ทำได้ 531 เสีย 257 ประตู
เปอร์เซ็นต์การชนะ 60.47 %
ความสำเร็จ : พรีเมียร์ลีก 1 สมัย (2019-2020), ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก 1 สมัย (2018-2019), ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 1 สมัย (2019) ฟีฟ่า คลับ เวิลด์ คัพ 1 สมัย (2019)
ทำเนียบกัปตันทีม ตั้งแต่ได้แชมป์ลีกสูงสุดครั้งสุดท้าย (เมื่อปี 1990)
อลัน แฮนเซน : 1989-1990
รอนนี วีแลน : 1990-1991
สตีฟ นิโคล : 1990-1991
มาร์ค ไรท์ : 1991-1993
เอียน รัช : 1993-1996
จอห์น บาร์นส์ : 1996-1997
พอล อินซ์ : 1997-1999
เจมี เรดแนปป์ : 1999-2002
ซามี ฮูเปีย : 2001-2003
สตีเวน เจอร์ราร์ด : 2003-2015
จอร์แดน เฮนเดอร์สัน : 2015 - ปัจจุบัน
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง