ไทยรัฐออนไลน์
4 สิ่งที่เปลี่ยนไปของ “ปิศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สโมสรชั้นนำแห่งเวที พรีเมียร์ลีก อังกฤษ กับช่วงระยะเวลา 4 นัดที่ผ่านมา
หากยังจำกันได้ช่วงก่อนหน้านั้น โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ เทรนเนอร์ชาวนอร์วีเจี้ยน นำทีมออกสตาร์ตฤดูกาล 2019-20 ได้อย่างเลวร้ายสุดๆ โดยเฉพาะในเกมลีกที่อันดับเคยรูดกราวร่วงลงไปอยู่ที่ 14 ของตาราง พร้อมการเล่นที่ไร้รูปทรงผนวกกับฟอร์มการเล่นที่ไม่เอาอ่าวของนักเตะหลายคน
ก่อนเกมแดงเดือด ยกแรก ที่เพิ่งผ่านพ้นไป ตอนนั้นต้องยอมรับว่ากระแสแรงเหลือเกินว่าอาจเป็นการคุมทีมนัดสุดท้ายของ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ เพราะตอนนั้นผลงานทีมกำลังย่ำแย่ต่อเนื่อง สวนทางกับทีมเยือนที่ฟอร์มสุดโหดชนะรวด 8 นัด และบรรดากูรูชื่อดังของแดนผู้ดีเกือบทั้งหมดฟันธงไปในทิศทางเดียงกันว่าเจ้าบ้านไม่น่ารอด แต่แล้วนัดดังกล่าว ยอดทีมสีแดงแห่งเมืองแมนเชสเตอร์ ดันเล่นผิดฟอร์ม เล่นได้ดีซะงั้น จบเกมเสมอ 1-1 นัดต่อมาในศึกยูโรปาลีก แม้รูปเกมไม่ดีนัก แต่ก็เก็บการแข่งขันที่ดีกลับออกมาได้ด้วยชัยชนะ 1-0
สังเกตได้ว่ามันคือสัญญาณลางๆ ที่กำลังจะติดไซเรนว่าแนวโน้มของทีมกำลังจะได้ดี และในนัดที่บุกไปถลุง "นกขมิ้นเหลืองอ่อน" นอริช ซิตี้ 3-1 มันเป็นฟอร์มการเล่นที่ไฉไลเป็นบ้าที่สุดของทีม จนต่อยอดในเกมล่าสุดที่บุกไปทุบ "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี 2-1 ในศึกคาราบาว คัพ รอบที่ 4 พร้อมกรุยทางสู่รอบต่อไปได้สำเร็จ
ถ้าเทียบในบรรดาทีมใหญ่ด้วยกันมันอาจจะเป็นเรื่องธรรมดามาก แต่ถ้าเป็น "ปิศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในยุคนี้ต้องบอกว่ามันคือช่วงเวลา 3-4 นัดที่กระเตื้องไปในทิศทางที่ดีขึ้นของทีม
โดย 4 สิ่งที่เห็นได้ชัดอย่างแรก นักเตะในทีมมีความกระหายมากขึ้น มันเลยส่งผลไปถึงข้อที่สองนั่นก็คือ ฟอร์มโดยรวมของนักเตะหลายๆ คนดีขึ้น อย่างเช่น เฟร็ด และอันเดรียส เปเรรา ที่แต่ก่อนจะโดนยี้ แต่ในเวลานี้พวกเขาก็พัฒนาตัวเองเพิ่มมากขึ้น
ขณะที่สามนั้นคือ รูปแบบการเล่นมีมิติมากขึ้นหลังได้ อองโตนี มาร์เชียล กลับคืนสู่ทีม หลังก่อนหน้านี้หายหน้าหายตาเพราะเจอปัญหาอาการบาดเจ็บ และในสิ่งสุดท้ายนั่นคือการที่ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ เริ่มโชว์กึ๋นและปรับเปลี่ยนรูปแบบการเล่นมากขึ้นกว่าแต่เดิม ตลอดจนการเปลี่ยนตัวที่ตอบโจทย์ส่งผลในแง่ดีกับทีมหลายครั้ง.