หน้าแรกแกลเลอรี่

ปาโบล เอสโคบาร์ : พ่อค้ายาโคลอมเบียที่ฟอกเงินดำด้วยการทำทีมฟุตบอล

ไทยรัฐออนไลน์

15 ส.ค. 2564 07:48 น.

เจ้าพ่อค้ายาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดใน โคลอมเบีย ที่ฟอกเงินเงินที่ได้จากการค้ายาเสพติด ด้วยการก้าวเท้าเข้าสู่วงการฟุตบอล

ในยุคทศวรรษ 1970 ถึง 1990 เป็นยุคที่โด่งดังของ ประเทศ โคลอมเบีย แต่เรื่องที่โด่งดังกลับไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีสักเท่าไหร่ เพราะ ประเทศ โคลอมเบีย ในเวลานั้น ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่ค้ายาเสพติดมากที่สุดอันดับต้นๆของโลก โดยที่ พ่อค้ายาที่ดังที่สุดในประเทศมีนามว่า ปาโบล เอสโคบาร์

ปาโบล เอสโคบาร์ เป็นใคร ? 

ปาโบล เอสโคบาร์
ปาโบล เอสโคบาร์

ชื่อเต็มของเขาคือ "ปาโบล เอมิลิโอ เอสโกบาร์ กาบิเรีย" โดยเจ้าตัวได้รับการขนานนามว่าเป็นพ่อค้ายาเสพติดชื่อก้องโลกชาวโคลอมเบีย เขาเริ่มต้นชีวิตอาชญากรด้วยการขายบุหรี่เถื่อน ลอตเตอรี่ปลอม และขโมยรถ ก่อนที่ในปี 1970 ไล่เริ่มไต่เต้าจนได้ชื่อว่าเป็น "ราชาแห่งโคเคน" และ มีการคาดการณ์ว่า เขามีส่วนแบ่งถึง 80% ในการลักลอบขนยาเสพติดเข้าไปขายในประเทศ สหรัฐอเมริกา 

เขาได้ชื่อว่าเป็นคนที่นำเงินจากการค้ายาเสพติด มาทำประโยชน์ให้กับเหล่าคนจนมากมาย ทั้งการสร้างบ้านหรือแม้กระทั้งสร้างสนามฟุตบอลในประเทศมากมายหลายแห่ง แต่ชีวิตของเจ้าพ่อค้ายารายนี้ ต้องจบลงหลัง ตำรวจโคลอมเบีย บุกเข้าไปวิสามัญเสียชีวิตในวันที่ 2 ธันวาคม 1993 หรือ 1 วันหลังจากเจ้าตัวอายุครบ 44 ปี บริบูรณ์

เปลี่ยนวงการฟุตบอลโคลอมเบียจาก สู่ จุดสูงสุดของทวีป 

อย่างที่ทราบกันดีว่า เงินของนักค้ายาเสพติด หรือ ที่เรียกกันว่า "เงินดำ" ซึ่งการจะใช้เงินดำ จะต้องนำไปผ่านธุรกิจที่ขาวสะอาดถึงจะนำมาใช้ได้ โดยที่ เอสโคบาร์ เลือกที่จะใช้เงินดำของเขา ลงทุนบนธุรกิจ วงการฟุตบอล โดยเขาเริ่มต้นจากการทุ่มเงินซื้อ 2 สโมสรในประเทศอย่าง แอตเลติโก นาซิอองนาล และ เดปอร์ติโบ เมเดยีน

ภาพจาก : Copa90.com
ภาพจาก : Copa90.com

โดยที่เขาเริ่ม เนรมิตรหลายสิ่งหลายอย่างเข้าสู่สโมสร จนทำให้ทั้ง 2 ทีม ประสบความสำเร็จมากมายตั้งแต่ยุค 70-90 ต้นๆ และทั้ง 2 ทีมยังคงป้อนเหล่าบรรดานักเตะเก่งๆ เขาสู่ทีมชาติมากมายไม่ว่าจะเป็น เรเน่ ฮิกิต้า ,อันเดรส เอสโคบาร์ และ คาร์ลอส วัลเดอร์รามา ซึ่งทั้ง 3 คนก็ได้เป็นตัวหลักของทีมลุยศึก ฟุตบอลโลก 3 สมัยติดต่อกันในยุค 1990,1994 และ 1998 แต่น่าเสียดายที่ ฟุตบอลโลก 1994 เป็นครั้งที่ เอสโกบาร์ อยากดูมากที่สุด แต่เจ้าตัวได้จากโลกนี้ไปเสียก่อน และนอกจากนี้ในปี 1990 และ 1994 โคลอมเบีย คัดเลือกเข้าไปแข่งฟุตบอลโลกหนนั้นด้วยการจบอันดับ 1 ของโซนอเมริกาใต้ ซึ่งเหนือกว่า บราซิล แชมป์โลกปี 1994 

จุดเริ่มต้นของ ดิโอโก มาราโดนา และ ปาโบล เอสโคบาร์ 

ในช่วง 4-5 ปีสุดท้ายของชีวิต เขาได้ยอมทำข้อตกลงกับรัฐบาล โคลอมเบีย ว่าต้องการที่จะมอบตัวกับทางการหลังจากที่ทำเรื่องมาแล้วสารพัดมากมายตั้งแต่ ปี 1970 เป็นต้นมา แต่มีข้อแม้สำคัญคือ เขาจะต้องเลือกได้ว่าเขาจะติดคุกที่ไหน ซึ่ง "La Catedral" หรือ "ลา กาเตดรัล" หากพูดชื่อนี้กับคนโคลอมเบีย ทุกคนจะต้องร้อง "อ่อ" ขึ้นมาทันที เพราะที่นี้คือ คุกที่ เอสโคบาร์ เป็นคนสั่งให้สร้างขึ้นมาเพื่อรองรับการติดคุกของเขา 

สิ่งที่ทำให้ "ลา กาเตดรัล" เป็นคุกที่ไม่ธรรมดาเป็นเพราะว่าในคุกแห่งนี้ มีทั้งสนามฟุตบอล โซนสำหรับย่างบาร์บีคิว และสามารถจัดปาร์ตี้ แถมยังสร้างบ้านพักชั่วคราวข้างๆ ให้กับครอบครัวและญาติๆ ที่จะมาเยี่ยมอีกด้วย โดยครั้งหนึ่งเขาได้เชิญ ดิโอโก มาราโดนา ซึ่งในเวลานั้นคือ สุดยอดนักเตะแห่งยุค 1980 ให้มาเตะบอลที่คุกแห่งนี้ ในปี 1991 มาเตะเกมการกุศลกับนักเตะทีมชาติ โคลอมเบีย หลายราย 

ดิเอโก มาราโดนา
ดิเอโก มาราโดนา

โดยที่ มาราโดนา ได้เปิดเผยถึงการรับเชิญครั้งนี้ว่า "เราลงแข่ง และทุกคนมีความสุข ในช่วงเย็นวันนั้นเรามีปาร์ตี้กับสาวสวยมากมายแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต และนี่มันคือในคุก ผมแทบไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้น เช้าวันถัดไปเขาจ่ายเงินให้ผม และกล่าวคำอำลา"

อำนาจของ เอสโคบาร์ ทำลายอาชีพนักฟุตบอล

การพบกันครั้งนี้ของ 2 ตำนาน จาก 2 วงการที่ต่างกัน ทำให้หลายๆอย่างเปลี่ยนไป มันทำให้ มาราโดนา เริ่มที่จะลิ้มลองสิ่งเสพติดเยอะขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดเขาก็ติดมัน และ ต้องถูกแบนจาก วงการฟุตบอลในปี 1991 นานถึง 15 ปี และ นั้นเป็นการสิ้นสุดอาชีพของ มาราโดนา ตั้งแต่วันนั้น แม้ว่าเขาจะประกาศเลิกเล่นในปี 1998 แต่นับตั้งแต่ปี 1992-1998 เจ้าตัวเล่นให้กับ 3 ทีมจาก 2 ทวีป และ ยิงประตูรวมกันได้แค่ 13 ประตูเท่านั้น 

ช่วงสุดท้ายของชีวิต

ในช่วงปี 1993 ซึ่งเป็นช่วงสุดท้ายในคุก "ลา กาเตดรัล" เกิดเหตุการฆาตกรรมปริศนาในคุกของ เอสโคบาร์ ขึ้นทำให้ รัฐบาลของ โคลอมเบีย ต้องการให้ย้าย ปาโบล เอสโคบาร์ มาคุมขังเหมือนนักโทษคนอื่นๆในเรือนจำ นั้นคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ เอสโคบาร์ ต้องหลบหนีออกจากที่นี่ เขาต้องหลบๆซ้อนๆ อยู่ตลอดเวลาในช่วงนั้น 

หนึ่งในคนสนิทของ เอสโคบาร์ ได้ออกมาเล่าถึงประสบการณ์หลบหนี "ผมรู้สึกได้ว่าทหารเข้ามาใกล้เราเรื่อย ๆ และผมก็แทบบ้า ปาโบล หันมาตะโกนบอกผมว่า "โคลอมเบีย ยิงได้แล้วเว้ย" มันทำให้ผู้ว่าฟุตบอลคือความสุขของชีวิตเขา ชีวิตและทางหนีเอาตัวรอดของเขา คือสิ่งที่เขาทำ"

ท้ายที่สุดเขาก็โดนตำรวจยิงตายใน ที่ดาดฟ้าของตึกแห่งหนึ่งที่ เมเดยิน ตอนนั้นเขาใส่รองเท้าสตั๊ด การตายของเขาทำให้ทุกสิ่งเปลี่ยนไปในทันที 

ผลกระทบของวงการฟุตบอลหลังจากการจากไปของ ตำนานยาเสพติด

อำนาจของ เอสโคบาร์ แผ่กระจายไปในทุกวงการของ ประเทศ โคลอมเบีย ภายหลังจากที่เขาเสียชีวิตในปี 1993 ทุกวงการก็เข้าสู่ยุคช่วงชิงอำนาจเพื่อจะขึ้นมาเป็นใหญ่ทุกวงการต่างมีการนองเลือดเกิดขึ้นไม่เว้นแต่วงการฟุตบอลของชาติ ก็เริ่มตกต่ำลง เป็นผลมาจากการยิงเข้าประตูตัวเองของ "อันเดรส เอสโคบาร์" ในฟุตบอลโลกปี 1994 จนเป็นเหตุให้ทีมต้องตกรอบแรก และ ถูกยิงตายหลังกลับมาบ้านเกิด

ชีวิตของนักกีฬาชุดนั้นทุกคนตกอยู่ในอันตราย นักเตะชื่อดังหลายคนตัดสินใจถอนตัวจากทีมชาติ โคลอมเบีย ร่วงจากอันดับที่ 4 ของโลก โลกหล่นมาอยู่ที่ 34 ในเวลาเพียงแค่ 3 ปี นาซิอองนาล ต้องรอแชมป์ลีกนานถึง 11 ปี ส่วนทีมสโมสรจาก โคลอมเบีย ก็ไม่ได้ชูถ้วย โกปา ลิเบอร์ตาดอเรส อีกเลยจนกระทั่ง อองเซ่ กัลดาส ทำมันได้ในปี 2004 

และต้องรออีก 21 ปี เต็มๆ กว่า โคลอมเบีย จะไปถึงรอง 8 ทีมสุดท้ายของ ศึก ฟุตบอลโลก 2014 และ เป็นกลับสู่ยุคเบิกบานของ วงการฟุตบอลโคลอมเบีย อีกครั้ง