มะระหวาน
เรียกได้ว่าซัดกันเดือดสุดๆสำหรับ 2 คู่ในรอบ 8 ทีมของศึกยูโร 2024 เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาสมการรอคอยที่เป็นทีมระดับบิ๊กเนมเจอกันทั้งสองคู่ ซึ่งใครไม่ได้ดูทั้งสองแมตช์บอกได้เลยว่าเสียดาย
ผลปรากฏว่า “กระทิงดุ” สเปน บดเอาชนะ “อินทรีเหล็ก” เยอรมนี เจ้าภาพ ไปได้ 2-1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ ผ่านเข้ารอบตัดเชือกไปเจอกับ “ตราไก่” ฝรั่งเศส ที่ดวลจุดโทษเอาชนะ “ฝอยทอง” โปรตุเกส ไปได้ 5-3 หลังจาก 120 นาทีเสมอกัน 0-0 โดยรอบรองชนะเลิศจะฟาดแข้งกันที่อัลลิอันซ์ อารีนา เมืองมิวนิก วันที่ 9 ก.ค.นี้ เวลา 02.00 น.
คู่แรก สเปนกับเยอรมนีนั้นใส่กันยับเปิดเกมแลกกันอย่างสนุกสูสีกันมาก ผลัดกันรุกผลัดกันรับและสเปนที่ออกนำไปก่อนตั้งแต่นาทีที่ 51 จากดานี โอลโม ก็เกือบจะชนะตั้งแต่ 90 นาทีแรกอยู่แล้ว แต่สุดท้ายก็เป็นฟลอเรียน เวียร์ตซ์ ที่มาซัดประตูตีเสมอ 1-1 ก่อนหมดเวลา 1 นาที ทำให้ต้องไปต่อเวลาพิเศษ
ก่อนจะเป็นมิเกล เมริโน มาโหม่งประตูชัยในนาทีที่ 119 พา “กระทิงดุ” เอาชนะไปได้ 2-1 ตีตั๋วเข้าสู่รอบตัดเชือกไปเป็นทีมแรก คู่นี้เรียกได้ว่าดวลกันมันสุดๆ สมราคาเป็น 2 ทีมที่ดีที่สุดในทัวร์นาเมนต์นี้
ส่วนอีกคู่ “ตราไก่” ฝรั่งเศส รองแชมป์โลกปี 2022 ดวลจุดโทษเอาชนะโปรตุเกสไปได้ 5-3 หลังจากเสมอในเวลา 120 นาที 0-0 แม้ว่าสกอร์จะออกมาจืดชืดแต่รูปเกมก็ไม่น่าเบื่อมากขนาดนั้น โดยทั้ง 2 ทีมมีโอกาสยิงรวมกันมากถึง 34 ครั้งด้วยกัน แม้ว่าจะตรงกรอบกันเพียงแค่ 9 ลูกรวมกัน แต่จังหวะง้างยิงก็เรียกความตื่นเต้นได้พอสมควร
ตอนก่อนดวลจุดโทษคิดว่าทางโปรตุเกสน่าจะนิ่งกว่าเพราะก่อนหน้านี้เพิ่งยิงลูกโทษเอาชนะ สโลวีเนียมาหมาดๆ โดยเฉพาะการเซฟ 3 จุดโทษของดิโอโก คอสตา จอมหนึบของทัพฝอยทองยังติดตาจนถึงทุกวันนี้ แต่รอบนี้มาเจอความนิ่งของทัพ “ตราไก่” ที่ยิงไม่พลาดเลย
ส่วนทัพ “ฝอยทอง” พลาดไป 1 นั่นก็คือชูเอา เฟลิกซ์ ที่ยิงชนเสา สุดท้ายฝรั่งเศสเอาชนะ โปรตุเกสไปได้ 5-3 ตีตั๋วผ่านเข้ารอบตัดเชือกไปเจอกับ “กระทิงดุ” สเปน
สำหรับในรอบตัดเชือกคู่แรก สเปนพบฝรั่งเศส ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเกมระดับความมัน 10 กะโหลกแน่นอน เพราะเชื่อว่าต่างฝ่ายต่างต้องการเข้าชิงชนะเลิศและก้าวไปสู่แชมป์ในบั้นปลาย
แต่อย่างไรก็ตาม มันมีสถิติที่น่าแปลกใจนั่นก็คือ “ตราไก่” ฝรั่งเศส ที่กรุยทางเข้ามาสู่รอบรองชนะเลิศได้นั้นเชื่อมั้ยว่าพวกเขาเพิ่งยิงได้แค่ประตูเดียวเท่านั้น แถมไม่ใช่จากการเล่นโอเพ่นเพลย์อีกด้วย ส่วนที่เหลืออีก 2 เม็ดเป็นการทำเข้าประตูตัวเองของคู่ต่อสู้
โดยประตูเดียวของ “ตราไก่” ที่ยิงได้ก็คือลูกจุดโทษของคีเลียน เอ็มบัปเป กองหน้ากัปตันทีมที่ยิงให้ฝรั่งเศสขึ้นนำโปแลนด์ 1-0 ในเกมนัด
สุดท้ายรอบแรก ก่อนสุดท้ายจะจบลงด้วยการเสมอกันไป 1-1
ทำให้ตอนนี้ลูกทีมของดิดิเยร์ เดส์ชองส์ กลายเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ยูโรที่ทำประตูไม่ได้ในจังหวะโอเพ่นเพลย์ติดต่อกันยาวนานที่สุดต่อการลงเล่นในทัวร์นาเมนต์รอบสุดท้าย ด้วยเวลา 480 นาที
ซึ่งส่วนหนึ่งที่ทาง “ตราไก่” ยิงไม่ได้ก็เพราะฟอร์มการเล่นของคีเลียน เอ็มบัปเป กองหน้ากัปตันทีม ที่ต้องสวมหน้ากากลงสนามทำให้เจ้าตัวไม่สามารถมองได้รอบด้านเหมือนเดิม เพราะการสวมหน้ากากทำให้วิสัยทัศน์การมองไม่เหมือนเดิม
ที่ผ่านมาแม้ว่าเอ็มบัปเปจะเล่นกองหน้าตัวเป้า แต่เขาก็คือคีย์แมนหลักที่จะพา “ตราไก่” ก้าวไปข้างหน้า ถ้าเขาเล่นดีเมื่อไรทีมก็จะขับเคลื่อนไปในทางที่ดีด้วย ดูได้จากฟุตบอลโลก 2 ครั้งล่าสุดที่ดาวยิงป้ายแดงของเรอัล มาดริด โชว์ฟอร์มสุดยอดจนพา “เลอ เบลอส์” คว้าแชมป์มาครองในปี 2018 และได้รองแชมป์ในปี 2022
ตอนนี้ “ตราไก่” ก็ต้องภาวนาให้เอ็มบัปเป ทำความเคยชินกับหน้ากากให้ได้มากขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถเค้นฟอร์มเก่งออกมาให้ได้ เพราะถ้าเจ้าตัวยังโชว์ฟอร์มลุ่มๆดอนๆแบบนี้ โอกาสฝรั่งเศสจะไปถึงดวงดาวคงยากยิ่งมาเจอกับสเปนที่ฟอร์มกำลังเข้าฝักแบบนี้ หาก “ตราไก่” ฟอร์มยังไม่กระเตื้องมีโอกาสโดน “กระทิงดุ” ไล่ขวิดเละแน่นอน!!
มะระหวาน
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่