มะระหวาน
เสร็จสิ้นไปแล้วสำหรับเกมลูกหนังยุโรปทั้ง 3 ถ้วยเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งบรรดาทีมตัวเต็งในแต่ละถ้วยก็อยู่กันพร้อมหน้าไม่มีใครร่วงไปก่อน แต่บางถ้วยก็มีทีมยักษ์ใหญ่ที่ตกรอบไปอย่างพลิกความคาดหมายเช่นกัน
เริ่มต้นจากถ้วยใหญ่สุด ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ได้ 16 ทีมผ่านเข้าสู่รอบน็อกเอาต์เป็นที่เรียบร้อย มีดังนี้ แชมป์กลุ่ม บาเยิร์น มิวนิก, ดอร์ทมุนด์ (เยอรมนี), อาร์เซนอล, แมนฯ ซิตี้ (อังกฤษ), เรอัล มาดริด, บาร์เซโลนา, เรอัล โซเซียดัด, แอตฯ มาดริด (สเปน) ซึ่งทั้งหมดจะอยู่ในโถ 1
ส่วนรองแชมป์กลุ่ม ปารีส แซงต์ แชร์กแมง (ฝรั่งเศส), อินเตอร์ มิลาน, ลาซิโอ, นาโปลี (อิตาลี), ปอร์โต (โปรตุเกส), แอร์เบ ไลป์ซิก (เยอรมนี), โคเปนเฮเกน (เดนมาร์ก), พีเอสวี (เนเธอร์แลนด์) จะอยู่ในโถที่สอง ซึ่งกฎการจับสลากรอบนี้ทีมจากชาติเดียวกัน และจากกลุ่มเดียวกันในรอบแรกจะไม่เจอกันเอง
เมื่อดูจากรายชื่อแล้วมีสิ่งที่แปลกไปก็คือมีทีมจากพรีเมียร์ลีก เหลือแค่ 2 ทีมเท่านั้น เพราะปกติส่วนใหญ่ในช่วง 3-4 ปีหลังทีมจากพรีเมียร์ลีกจะตบเท้าเข้าสู่รอบน็อกเอาต์ทั้งหมด แต่ในปีนี้ทีมจากลีกผู้ดีผิดฟอร์มไปนิด เนื่องจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และนิวคาสเซิล จอดป้ายแค่รอบแบ่งกลุ่มเท่านั้น
มาต่อที่ถ้วยใบรองอย่าง “ยูโรปา ลีก” ก็ได้ 16 ทีมสุดท้ายเช่นเดียวกัน โดยบรรดา 3 ตัวแทนจากพรีเมียร์ลีก ก็ตบเท้าเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายสำเร็จในฐานะแชมป์กลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น ลิเวอร์พูล, เวสต์แฮม และไบรท์ตัน ซึ่งทั้งหมดรวมอีก 5 ทีมอย่าง เรนเจอร์ส (สกอตแลนด์), อตาลันตา (อิตาลี), บีญาร์เรอัล (สเปน), สลาเวีย ปราก (สาธารณรัฐเช็ก) และเลเวอร์คูเซน (เยอรมนี) จะผ่านเข้ารอในรอบน็อกเอาต์
ส่วนรองแชมป์กลุ่มอย่างไฟร์บวร์ก (เยอรมนี), มาร์กเซย (ฝรั่งเศส), สปาตา ปราก (สาธารณรัฐเช็ก), สปอร์ติง ลิสบอน (โปรตุเกส), ตูลูส (ฝรั่งเศส), แรนส์ (ฝรั่งเศส), โรมา (อิตาลี) และคาราบัค (อาเซอร์ไบจาน) จะต้องไปเล่นเพลย์ออฟกับ
ทีมอันดับ 3 แชมเปียนส์ ลีกอย่าง เบนฟิกา (โปรตุเกส), บรากา (โปรตุเกส), เฟเยนูร์ด (เนเธอร์แลนด์), กาลาตาซาราย (ตุรกี), ลองส์ (ฝรั่งเศส), เอซี มิลาน (อิตาลี), ชัคตาร์ โดเน็ตส์ค (ยูเครน) และ ยัง บอยส์ (สวิตเซอร์แลนด์)
ซึ่งผู้ชนะในรอบเพลย์ออฟจะผ่านเข้าไปดวลกับบรรดาแชมป์กลุ่มที่เข้าไปยืนรอในรอบ 16 ทีมสุดท้ายต่อไป
ด้านถ้วยใบเล็กอย่าง ยูโรปา คอนเฟอเรนซ์ ลีก ก็ได้ทีมผ่านเข้ารอบครบเช่นกัน นำทัพโดย “สิงห์ผงาด” แอสตัน วิลลา ทีมอันดับ 3 พรีเมียร์ลีก และเต็งแชมป์รายการนี้ ที่คว้าแชมป์กลุ่มเช่นเดียวกับอีก 7 ทีมอย่าง ลีลล์ (ฝรั่งเศส), มัคคาบี เทล อาวีฟ (อิสราเอล), วิคตอเรีย เพลเซน (สาธารณรัฐเช็ก), คลับ บรูซ (เบลเยียม), ฟิออเรนตินา (อิตาลี), พีเอโอเค (กรีซ) และ เฟเนร์บาห์เช (ตุรกี) ซึ่งจะเข้าไปยืนรอในรอบ 16 ทีมสุดท้าย
ส่วนรองแชมป์กลุ่มอย่าง สโลวาน บราติสลาวา (สโลวะเกีย), เกนท์ (เบลเยียม), ดินาโม ซาเกร็บ (โครเอเชีย), โบโด/กลิมท์ (นอร์เวย์), ลีเกีย วอร์ซอว์ (โปแลนด์), เฟเรนซ์วารอส (ฮังการี), แฟรงก์เฟิร์ต (เยอรมนี) และ ลูโดโกเรตส์ (บัลแกเรีย) ต้องไปเพลย์ออฟกับอันดับ 3 ยูโรปา ลีกอย่าง โอลิมเปียกอส (กรีซ), อาแจกซ์ (เนเธอร์แลนด์), เรอัล เบติส (สเปน), สตรวม กราซ (ออสเตรีย), อูนิโอน แซงต์ กิลลัวส์ (เบลเยียม), มัคคาบี ไฮฟา (อิสราเอล), เซอร์เวตต์ (สวิตเซอร์แลนด์) และ โมลด์ (นอร์เวย์)
ซึ่งเงื่อนไขการเข้ารอบก็ไม่ต่างจากยูโรปา ลีก คือผู้ชนะในรอบเพลย์ออฟจะเข้าไปดวลกับแชมป์กลุ่มที่เข้าไปปักหลักรอในรอบ 16 ทีมสุดท้าย
โดยบอลถ้วยทั้ง 3 รายการจะมีการจับสลากประกบคู่วันนี้ (จันทร์ที่ 18 ธ.ค.) ต้องมาลุ้นกันว่าจะมีบิ๊กแมตช์กันซักกี่คู่!!!
มะระหวาน
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่