หน้าแรกแกลเลอรี่

วิเคราะห์ "อิตาลี-อังกฤษ" เทียบสถิติ-ค่าพลัง ก่อนบู๊ยูโร 2020 รอบชิงชนะเลิศ

ไทยรัฐออนไลน์

11 ก.ค. 2564 06:33 น.

วิเคราะห์ก่อนเกมยูโร 2020 รอบชิงชนะเลิศ อิตาลี ดวลเดือด อังกฤษ เพื่อชิงความเป็นหนึ่งของทวีปยุโรป เทียบสถิติ-ค่าพลังทั้ง 2 ทีมพร้อมทำนายผล

อิตาลี VS อังกฤษ

รอบชิงชนะเลิศ

วัน : อาทิตย์ที่ 11 กรกฎาคม 2564 (เวลา 02.00 น. ของวันที่ 12 กรกฎาคม ตามเวลาประเทศไทย)

สนาม : เวมบลีย์, กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ 

ถ่ายทอดสด : ช่อง NBT 2HD (หมายเลข 2)

-----------

เกมรุก  

อิตาลี คือ ทีมที่พังประตูคู่แข่งมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ในศึกยูโร 2020 หนนี้ที่ 12 ประตู เท่ากับ เดนมาร์ก โดยน้อยกว่า สเปน อันดับ 1 เพียง 1 ลูกเท่านั้น

อีกทั้งผู้ทำประตูยังกระจายกันไปถึง 6 คน คือ ชิโร อิมโมบิเล, ลอเรนโซ อินซินเญ, มานูเอล โลคาเตลลี, มัตเตโอ เปสซินา, เฟเดริโก เคียซา (คนละ 2 ประตู) และ นิโคโล บาเรลลา (1 ประตู) ส่วนอีก 1 ลูกมาจากการทำเข้าประตูตัวเองของ ตุรกี ตั้งแต่นัดเปิดสนาม แสดงให้เห็นว่ามีการเข้าทำที่หลากหลาย ไม่ฝากความหวังเรื่องจบสกอร์ไว้ที่คนใดคนหนึ่ง และยังทำให้คู่แข่งจับทางยากด้วย

ส่วนที่มาของการได้ประตูก็ค่อนข้างหลากหลาย มีทั้งการต่อบอลเจาะเกมรับเข้าไปพังตาข่ายในเขตโทษ, เปิดลูกเซตพีซเข้าไปลุ้นหาทางสับไก, การยิงจากแถวสอง, เล่นเกมสวนกลับเร็ว รวมถึงอาศัยความสามารถเฉพาะตัวเพื่อหาจังหวะยิง น่าจะเป็นปัญหาหนักใจไม่น้อยสำหรับแนวรับคู่แข่ง

ขณะที่ อังกฤษ แม้ช่วงแรกของทัวร์นาเมนต์จะผลิตสกอร์ได้น้อย แต่เมื่อจับจังหวะได้ก็ค่อยๆ มีประตูไหลมาเทมาจนยิงได้ 10 ลูก ตามติดมาในอันดับ 4 ต่อจาก อิตาลี และ เดนมาร์ก 

อย่างไรก็ตาม "สิงโตคำราม" ได้ประตูจากผู้เล่นเพียง 4 คน ซึ่ง แฮร์รี เคน กดไป 4 ลูก ส่วน ราฮีม สเตอร์ลิง ก็จัดไป 3 ลูกแรกในรายการนี้ เรียกได้ว่าทั้งคู่แบกความหวังในการใส่สกอร์เอาไว้ มีเพียง แฮร์รี แม็กไกวร์ และ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่มาช่วยแบ่งเบาภาระคนละ 1 ประตูจากการโหม่งลูกฟรีคิกและลูกเตะมุมในรอบ 8 ทีม ถล่ม ยูเครน 4-0

แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า 10 ประตูของทัพ "ทรี ไลออนส์" เกิดขึ้นในกรอบเขตโทษทั้งหมด โดย 5 ลูกเกิดจากการเซตบอลเข้าทำ 3 ประตูมาจากลูกเซตพีซ ทั้งเตะมุม ฟรีคิก ตลอดจนจุดโทษซึ่งเกิดจากความสามารถเฉพาะตัวของ สเตอร์ลิง ที่เลี้ยงกินตัวแนวรับเดนมาร์กเพื่อวัดใจผู้ตัดสิน ก่อนประสบความสำเร็จ และอีก 2 ลูกมาจากการตัดบอลแล้วจู่โจมเร็ว นับว่าความหลากหลายอาจสู้ อิตาลี ไม่ได้

กระนั้น อังกฤษ กลับมีประสิทธิภาพการจบสกอร์ที่เหนือกว่าจากการใช้โอกาสรวมกันเพียง 58 ครั้ง ขณะที่ "อัซซูรี" ใช้โอกาสเปลืองถึง 108 ครั้ง เป็นอันดับ 2 รองจาก สเปน แค่ 3 ครั้ง จึงน่าสนใจว่าแมตช์นี้ใครจะคมกว่ากัน

คะแนน : อิตาลี 9 / อังกฤษ 8.5

-------------

เกมรับ

แม้รอบแบ่งกลุ่ม อิตาลี จะไม่เสียประตูทั้ง 3 นัด แต่ตลอดรอบน็อกเอาต์ทั้ง 3 เกมที่ผ่านมา พวกเขาโดนเจาะรอบละ 1 ประตู ทั้งรอบ 16 ทีม ต่อเวลาพิเศษชนะ ออสเตรีย 2-1 จากลูกเตะมุม, รอบ 8 ทีม ชนะ เบลเยียม 2-1 จากจุดโทษซึ่งเกิดจากการทำฟาวล์ เฌเรมี โดกู ที่มีความเร็วสูง และรอบรองชนะเลิศ เสมอ สเปน 1-1 จากการโดนต่อบอลทำชิ่งเจาะแนวรับ ก่อนเอาตัวรอดดด้วยการดวลจุดโทษชนะ

การเสียประตูทั้ง 3 ครั้งของ "อัซซูรี" ถือเป็นวิธีการเข้าทำที่ อังกฤษ ถนัดเสียด้วย ดังนั้นกุนซือ โรแบร์โต มันชินี ต้องหาทางขันแนวรับให้แน่นหนายิ่งขึ้น หลังจากมีบทเรียนในรอบน็อกเอาต์ที่ผ่านมาแล้ว แต่คู่หูเสาหลักอย่าง จอร์โจ คิเอลลินี กับ เลโอนาร์โด โบนุชชี ที่มีอายุรวมกัน 70 ปี น่าจะงัดเอาประสบการณ์อันโชกโชนออกมาใช้รับมืออย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยแน่นอน

ด้าน "สิงโตคำราม" เตรียมตัวสำหรับทัวร์นาเมนต์นี้มาเป็นอย่างดี โดยวางรากฐานเกมรับอย่างแน่นหนาด้วยการใช้มิดฟิลด์ตัวรับธรรมชาติ 2 คนอย่าง คัลวิน ฟิลลิปส์ กับ ดีแคลน ไรซ์ เป็นตัวยืนคอยปัดกวาดหน้าแผงหลัง ซึ่งยืดหยุ่นได้ทั้งระบบแนวรับ 4 คน หรือปราการหลัง 3 คน จนกลายเป็นทีมแรกในศึกยูโร รอบสุดท้าย ที่ไม่เสียประตูตลอด 5 นัดแรก

สำหรับ 1 ประตูที่เสียให้ เดนมาร์ก ต้องยอมรับว่า มิคเคล ดามส์การ์ด ยิงฟรีคิกได้สมบูรณ์แบบจริงๆ แต่ก็เป็นประตูแรกจากลูกฟรีคิกที่เกิดขึ้นในยูโร 2020 ด้วย ทำให้ จอร์แดน พิคฟอร์ด กลายเป็นผู้รักษาประตูทีมชาติอังกฤษที่ไม่เสียประตูติดต่อกันนานที่สุด 725 นาที ทำลายสถิติเดิมของ กอร์แดน แบงค์ส เมื่อ 55 ปีที่แล้ว แสดงให้เห็นว่าหาก อิตาลี จะเจาะตาข่ายก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกัน

คะแนน : อิตาลี 8.5 / อังกฤษ 9

-------------

ความแข็งแกร่ง

"อัซซูรี" อาจเจอปัญหาผู้เล่นบาดเจ็บรบกวนตั้งแต่นัดแรก ทั้ง อเลสซานโดร ฟลอเรนซี แบ็กขวา, จอร์โจ คิเอลลินี กองหลังกัปตันทีมที่ฟื้นตัวกลับมาสมบูรณ์แล้ว และ เลโอนาร์โด สปินาซโซลา แบ็กซ้ายจอมบุกที่กล้ามเนื้อฉีกในรอบ 8 ทีม จนต้องพักยาว 6 เดือน

แต่ตัวทดแทนที่ มันชินี เลือกมาในชุด 26 คน สามารถหยิบมาใช้งานได้เป็นอย่างดี ทั้ง ราฟาเอล โตลอย, อเลสซานโดร บาสโตนี, ฟรานเชสโก อแชร์บี, เอเมอร์สัน พัลมิเอรี ตลอดจน มานูเอล โลคาเตลลี ที่ลงตัวจริงแทน มาร์โก แวร์รัตติ ใน 2 เกมแรก, เฟเดริโก เคียซา ที่เริ่มต้นจากตัวสำรองก่อนยึดตัวจริงจาก โดเมนิโก เบราร์ดี พร้อมทำได้ 2 ประตู เช่นเดียวกับ มัตเตโอ เปสซินา อีกหนึ่งกองกลางตัวพลิกเกม เรียกได้ว่ามีไพ่ในมือให้เลือกใช้อย่างหลากหลาย

แต่ถ้ามองในมุมเดียวกัน แกเร็ธ เซาธ์เกต กุนซือทีมชาติอังกฤษก็มีขุมกำลังที่หลายทีมต้องอิจฉาเช่นกัน ตัวอย่างเช่น ไทโรน มิงส์ ที่ยืนเซ็นเตอร์คู่กับ จอห์น สโตนส์ ใน 2 เกมแรกก็ทำหน้าที่ได้ไม่มีบกพร่อง ก่อนส่งมอบตำแหน่งคืนให้ แฮร์รี แม็กไกวร์ ที่กลับมาฟิตสมบูรณ์อีกครั้ง

สำหรับแบ็ก 2 ข้างก็มีตัวเลือกให้ที่สลับกันลงได้ ทั้งทางขวาที่มี ไคล์ วอล์คเกอร์, คีแรน ทริปเปียร์ กับ รีซ เจมส์ ส่วนทางซ้ายก็มี ลุค ชอว์ กับ เบน ชิลเวลล์ ด้านมิดฟิลด์คู่กลางก็ยังมี จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ จูด เบลลิงแฮม รอสแตนด์บาย ฟิลลิปส์ กับ ไรซ์ อยู่ข้างสนาม

ส่วนตัวรุกก็สามารถเลือกใช้ได้ตามใจชอบ โดยมิดฟิลด์ตัวทำเกมมีทั้ง เมสัน เมาท์, ฟิล โฟเดน รวมถึง แจ็ค กรีลิช ที่เป็นไพ่ตายของ เซาธ์เกต ริมเส้นก็สลับกันลงได้ทั้ง ราฮีม สเตอร์ลิง, บูกาโย ซากา, เจดอน ซานโช และ มาร์คัส แรชฟอร์ด ขณะที่หน้าเป้าก็มี แฮร์รี เคน เป็นตัวยืน โดมินิก คัลเวิร์ต-ลูวิน เป็นตัวเปลี่ยน หรือจะใช้ สเตอร์ลิง กับ แรชฟอร์ด หุบมายืนในระบบหัวหอก 2 คนก็ย่อมได้

ยิ่งเวลานี้ "สิงโตคำราม" ไม่มีปัญหาผู้เล่นบาดเจ็บรบกวนด้วยแล้ว ทำให้ เซาธ์เกต มีตัวเลือกครบมือให้หยิบใช้ อยู่ที่การตัดสินใจ ณ ขณะนั้นว่าจะเลือกใครลงไปแก้เกม

คะแนน : อิตาลี 95 / อังกฤษ 94

-------------

ฟอร์มการเล่น

ลูกทีมของ โรแบร์โต มันชินี สร้างสถิติไม่แพ้ใครติดต่อกันมา 33 นัด ตั้งแต่เดือนกันยายน ปี 2018 ยาวนานเกือบ 3 ปีแล้ว เหลืออีกเพียง 2 นัดก็จะเทียบเท่าสถิติโลกของ บราซิล (ปี 1993-1996) และ สเปน (ปี 2007-2009) ซึ่งยูโร 2020 รอบชิงชนะเลิศ ถือเป็นบันไดอีกขั้นที่ อิตาลี ต้องก้าวข้ามสู่การยืนหนึ่งแต่เพียงผู้เดียว

แม้รอบน็อกเอาต์ทั้ง 3 นัดที่ผ่านมา "อัซซูรี" จะเสียประตูให้กับคู่แข่ง แต่ก็เป็นฝ่ายทำประตูขึ้นนำก่อนทุกครั้ง รวมถึง 3 เกมในรอบแบ่งกลุ่มด้วย เรียกได้ว่าชั่วโมงนี้พวกเขาพร้อมเจอคู่แข่งทุกทีม

กระนั้น อังกฤษ ก็คงไม่ยอมเป็นบันไดให้ อิตาลี ก้าวผ่านไปง่ายๆ เมื่อพวกเขาไม่แพ้ใครมา 12 นัดติดต่อกัน และเสมอเพียงครั้งเดียวในเกมรอบแบ่งกลุ่ม นัดที่ 2 กลุ่มดี ที่เจ๊า สกอตแลนด์ 0-0 โดยเสียไปเพียง 2 ประตูเท่านั้น

แม้จะไม่ค่อยชนะคู่แข่งแบบขาดลอย แต่อีกนัยหนึ่งก็เป็นทีมที่แพ้ยากเช่นกัน และยังเสียไปแค่ประตูเดียว น้อยกว่าทุกทีมในยูโร 2020 นอกจากนี้ยังเอาชนะ เยอรมนี ที่เคยเป็นงูเหลือมกับเชือกกล้วยมาได้ในรอบ 16 ทีม ทำให้ "สิงโตคำราม" ก็พร้อมชนคู่แข่งทุกรายเช่นกัน

คะแนน : อิตาลี 97 / อังกฤษ 96

-------------

แท็กติก

อิตาลี โฉมใหม่ภายใต้กุนซือ โรแบร์โต มันชินี ได้ลบล้างภาพจำเดิมๆ จนหมดสิ้น จากทีมที่เน้นตั้งรับแล้วหาจังหวะสวนกลับ มาเป็นทีมที่ไล่บี้คู่แข่งจนเล่นไม่ถนัด แล้วเปิดเกมรุกโจมตีอย่างรวดเร็วว่องไว

แต่เมื่อเจอคู่แข่งที่ครองบอลดีที่สุดในยูโร 2020 อย่าง สเปน ในรอบตัดเชือก พวกเขาก็ปรับมาเล่นเกมรับเหนียวแน่นตามแบบฉบับดั้งเดิมได้เป็นอย่างดี และสามารถยันเสมอ 1-1 ก่อนยื้อไปเอาชนะในการดวลจุดโทษตัดสินได้สำเร็จ

"อัซซูรี" มีสถิติการแย่งบอล 249 ครั้ง เข้าปะทะ 74 ครั้ง มากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของทัวร์นาเมนต์ และยังเปิดเกมรุก 318 ครั้ง เป็นอันดับ 2 ในรายการ ตลอดจนล้ำหน้ามากเป็นอันดับ 1 ถึง 23 ครั้ง บ่งบอกให้เห็นว่าหากแผงหลังคู่แข่งเช็กล้ำหน้าพลาด ก็อาจโดนลงโทษได้ทุกเมื่อ

ฝั่ง อังกฤษ ของ แกเร็ธ เซาธ์เกต มีแนวทางที่ชัดเจน คือ การเล่นเกมรับให้เหนียวแน่นไว้ก่อน แล้วค่อยหาจังหวะเผด็จศึกเอาชนะคู่ต่อสู้ แม้จะทำประตูแต่ละนัดได้ไม่มาก แต่ก็เพียงพอที่จะผ่านเข้ามาถึงรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งเป็นแท็กติกที่ได้ผลสำหรับฟุตบอลทัวร์นาเมนต์แบบนี้

แต่การวางเกมรับของ เซาธ์เกต ก็มีความยืดหยุ่นในตัวเช่นกัน ซึ่งรอบแบ่งกลุ่ม ใช้ระบบแผงหลัง 4 คน เนื่องจากคู่แข่งยังไม่แข็งแกร่งมาก แต่เมื่อเข้ารอบ 16 ทีมไปชนของแข็งอย่าง เยอรมนี "สิงโตคำราม" ก็ปรับหมากมาเล่นเซ็นเตอร์ 3 ตัว เพื่อขันเกมรับให้แน่นหนาขึ้น ก่อนเอาชนะมาได้ 2-0 ด้วยการทิ้งไพ่เด็ดอย่าง แจ็ค กรีลิช ลงมาพลิกเกมในการช่วยเก็บบอลในแดน "อินทรีเหล็ก" แล้วหาจังหวะออกบอลคมๆ จนเป็นที่มาของทั้ง 2 ประตู

อีกตัวอย่างที่ เซาธ์เกต โชว์การแก้เกม คือ รอบ 8 ทีม ซึ่งครึ่งแรกที่เจอ ยูเครน "ทรี ไลออนส์" เริ่มต้นด้วยแผงหลัง 4 คน แล้วยังนำแค่ 1-0 ครึ่งหลังจึงปรับมาใช้เซ็นเตอร์ 3 ตัว หุบ ไคล์ วอล์คเกอร์ จากแบ็กขวาเข้ามาคุมหลังบ้านกับ จอห์น สโตนส์ และ แฮร์รี แม็กไกวร์ แล้วดัน ลุค ชอว์ ไปเป็นวิงแบ็กเพื่อเติมเกมฝั่งซ้ายมากขึ้น ผลก็คือ ชอว์ ทำ 2 แอสซิสต์จาก 3 ประตูในครึ่งหลัง ก่อนถล่มชนะ 4-0

แม้ อังกฤษ จะเข้าปะทะรวมกันเพียง 53 ครั้ง น้อยกว่า อิตาลี อย่างชัดเจน แต่ปะทะสำเร็จถึง 33 ครั้ง ดีกว่า "อัซซูรี" ที่สำเร็จเพียง 21 ครั้ง รวมถึงครองบอลเฉลี่ยนัดละ 54.2 เปอร์เซ็นต์ จ่ายบอลแม่นยำถึง 87.7 เปอร์เซ็นต์ แสดงให้เห็นถึงการคุมเกมที่ดี จึงน่าสนใจว่าปรัชญาที่ว่า "เกมรุกทำให้คุณชนะ แต่เกมรับจะทำให้คุณเป็นแชมป์" จะใช้ได้ผลจริงหรือไม่

คะแนน : อิตาลี 95 / อังกฤษ 92

-------------

ขวัญกำลังใจ

แน่นอนว่าการรักษาสถิติไร้พ่ายมานาน 33 นัด จะทำให้ขุนพล "อัซซูรี" มั่นใจสุดขีด พร้อมลุยกับทุกทีม แต่สถานการณ์ล่าสุดที่มีสื่อประจำทีมและเจ้าหน้าที่เทคนิค 3 รายติดเชื้อโควิด-19 ภายในแคมป์ อาจส่งผลต่อความกังวลใจของนักเตะและสตาฟฟ์โค้ชอยู่บ้าง แต่หากตรวจไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มเติม ลูกทีมของ มันชินี ก็จะพร้อมลุ้นแชมป์แรกนับตั้งแต่ฟุตบอลโลก 2006 อย่างเต็มที่

ส่วน อังกฤษ ได้รับข่าวไม่สู้ดีนัก เมื่อ ฟิล โฟเดน มิดฟิลด์พรสวรรค์สูงบาดเจ็บเล็กน้อยจนไม่ได้ลงซ้อมครั้งสุดท้าย มีโอกาสสูงที่จะพลาดนัดสำคัญคืนนี้

แต่ เซาธ์เกต อาจไม่หนักใจ เมื่อยังมีหลายคนที่พร้อมทดแทน ทั้ง เมสัน เมาท์, แจ็ค กรีลิช, เจดอน ซานโช, บูกาโย ซากา ยิ่งได้เล่นใน เวมบลีย์ สนามที่ตัวเองคุ้นเคยท่ามกลางกองเชียร์ที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามากว่า 60,000 คน โดยมี อิตาลี ได้โควตาเพียง 1,000 คน ยิ่งทำให้ "สิงโตคำราม" พร้อมสู้สุดใจ เพื่อแชมป์แรกในรอบ 55 ปีที่รอคอย นับจากแชมป์ฟุตบอลโลก 1966 

คะแนน : อิตาลี 91 / อังกฤษ 97

-------------

คะแนนรวม : อิตาลี 95 / อังกฤษ 95

-------------

เฮด-ทู-เฮด (พบกัน 27 ครั้ง)

อิตาลี ชนะ 11
เสมอ 8
อังกฤษ ชนะ 8

-------------

ผลงานในยูโร 2020

อิตาลี

รอบแบ่งกลุ่ม - ชนะ ตุรกี 3-0 / ชนะ สวิตเซอร์แลนด์ 3-0 / ชนะ เวลส์ 1-0

รอบ 16 ทีม - ต่อเวลาพิเศษชนะ ออสเตรีย 2-1 (เสมอ 0-0 ในเวลา 90 นาที)

รอบ 8 ทีม - ชนะ เบลเยียม 2-1

รอบรองชนะเลิศ - ดวลจุดโทษชนะ สเปน 4-2 (เสมอ 1-1 ในเวลา 120 นาที)

อังกฤษ

รอบแบ่งกลุ่ม - ชนะ โครเอเชีย 1-0 / เสมอ สกอตแลนด์ 0-0 / ชนะ สาธารณรัฐเช็ก 1-0

รอบ 16 ทีม - ชนะ เยอรมนี 2-0

รอบ 8 ทีม - ชนะ ยูเครน 4-0

รอบรองชนะเลิศ - ต่อเวลาพิเศษชนะ เดนมาร์ก 2-1 (เสมอ 1-1 ในเวลา 90 นาที)

-------------

ผลการแข่งขันที่คาด : อังกฤษ ต่อเวลาพิเศษชนะ 2-1

-------------

เรื่อง : ชัช บางแค