ไทยรัฐออนไลน์
"พลพรรคอัซซูรี" ทีมชาติอิตาลี มักเป็นขาประจำและทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในทัวร์นาเมนต์ระดับเมเจอร์ซึ่งมีโทรฟี่เป็นเครื่องการันตีอย่าง แชมป์ฟุตบอลโลก 4 สมัยในปี 1934, 1938, 1982 และปี 2006 โดยที่พวกเขาเป็นชาติแรกที่คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกได้ 2 สมัยติดต่อกัน นอกจากนี้ยังมีแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือ แชมป์ยูโร 1 สมัยในปี 1968 รวมถึงเหรียญทองในฟุตบอลโอลิมปิก ฤดูร้อน 1936 อีกด้วย
แต่อย่างไรก็ตามเรื่องไม่น่าเชื่อเสมือนเป็นรอยด่างพร้อยของพวกเขานั่นคือการไม่ได้ไปเล่นในศึก ฟุตบอลโลก 2018 รอบสุดท้าย ที่ประเทศรัสเซีย ภายใต้การคุมทัพ จาน ปิเอโร เวนตูรา ซึ่งในเวลานั้นจบอันดับสองในรอบคัดเลือกและต้องไปเพลย์ออฟกับ ทีมชาติสวีเดน ซึ่งนัดแรก ทีมชาติอิตาลี บุกไปพ่ายแพ้มาก่อน 0-1 จาก ยาค็อบ โยฮันส์สัน นั่นจึงทำให้นัดสองที่กลับมาเล่นในบ้านต้องอยู่สภาวะกดดันอย่างและต้องยิงถึง 2 ประตูเพื่อพลิกสถานการณ์เข้ารอบ
รูปเกมในนัดที่สองออกตามทรงนั่นคือ ทีมชาติอิตาลี เป็นฝ่ายเดินเกมบุกเพื่อหวังนับหนึ่งกับประตูแรกให้ได้ แต่ยิ่งเวลาเดินผ่านไปเรื่อยๆ จากการที่ยังไม่มีสกอร์เกิดขึ้นยิ่งทำให้กดดันจนท้ายที่สุดแล้วเกมที่สองก็ไม่มีประตูเกิดขึ้นและจบลงด้วยสกอร์รวม 2 นัด 1-0 เป็นอันว่า ทีมชาติสวีเดน ของ ยานเน แอนเดอร์สสัน สามารถหักปากกาเซียนฝ่าด่านส่ง ทีมชาติอิตาลี ตกรอบคัดเลือกครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1958
หนึ่งในแข้ง ทีมชาติอิตาลี ที่ผิดหวังมากที่สุดคนหนึ่งน่าจะหนีไม่พ้น จิอันลุยจิ บุฟฟอน ผู้รักษาประตูระดับตำนานจากการรับใช้ทีมชาติมานานกว่า 20 ปี ที่ลงเล่นในนัดเป็นเกมดังกล่าวเป็นนัดที่ 175 เคยประกาศล่วงหน้าว่าจะอำลาทีมชาติหลังจบศึกฟุตบอลโลก แต่ตัวเขาหรือใครก็ตามคงไม่คิดว่าเส้นทางทัวร์นาเมนต์ในครั้งนี้จะจบลงเร็วแบบที่คาดไม่ถึง เป็นการรูดม่านปิดฉากลงด้วยคราบน้ำตา
"ผมขอโทษจริงๆ ผมไม่ได้รู้สึกเสียใจกับตัวเองหรอกนะแต่มันเป็นความเสียใจกับวงการฟุตบอลอิตาลีที่เราล้มเหลวไม่เป็นท่า (ตกรอบคัดเลือก ฟุตบอลโลก 2018) ผมเสียใจมากๆ ที่ผลลัพธ์มันต้องลงเอยแบบนี้ แต่ผมเชื่อว่า อิตาลี ยังมีอนาคตที่ดีรออยู่ เราต้องหาทางกลับมายืนอยู่ในจุดเดิมให้ได้อีกครั้งเพราะเรามีนักเตะพรสวรรค์มากมาย" นี่คือถ้อยคำบางส่วนของ จิอันลุยจิ บุฟฟอน ที่บอกกล่าวไว้ในวันที่เขาเสียใจมากที่สุดครึ่งในชีวิต
ทางฟากของ จาน ปิเอโร เวนตูรา กุนซือของทีมออกมาพูดถึงความล้มเหลวในครั้งนั้นว่า "มันเป็นผลการแข่งขันที่ยากจะยอมรับได้ (ตกรอบคัดเลือก ฟุตบอลโลก 2018) แน่นอนว่าผมเองก็ผิดหวัง มันทำให้ผมรู้อีกครั้งครั้งหนึ่งว่าทีมชาติอิตาลี มีความหมายต่อทุกคนมากขนาดไหน ผมภูมิใจที่ได้ทำงานกับนักเตะที่ยิ่งใหญ่ และผมขอขอบคุณแฟนบอลที่อยู่กับเราจนนาทีสุดท้าย"
แน่นอนว่าสปอตไลต์ย่อมส่องไปที่ โรแบร์โต มันชินี ในฐานะแม่ทัพคนสำคัญของ ทีมชาติอิตาลี ที่เปรียบเสมือนกับเป็น จูเลียส ซีซาร์ ยอดนักรบที่สร้างจักรวรรดิโรมันขึ้นมาได้ด้วยความห้าวหาญและเด็ดเดี่ยว, กล้าได้กล้าเสีย รวมถึงกล้าเปลี่ยนแนวคิดจากเดิมจนมีการนำมาสร้างภาพยนตร์มหากาพย์อย่าง นักรบผู้กล้าผ่าแผ่นดินทรราช (Gladiator) จนประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามได้รับการยอมรับทั่วโลก
ย้อนกลับไปที่เรื่องราวของ จูเลียส ซีซาร์ นี่คือวีรบุรุษนักรบที่ยิ่งใหญ่ของอาณาจักรโรมันในสมัยโบราณกาล ชื่อเสียงของเขาถูกเล่าขานและถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์โลกกว่า 2,000 ปีมาแล้ว ในวัยเด็กตัวเขาต้องเจอกับหลายเรื่องในชีวิต ทั้งตอนที่พ่อของเขาถูกยึดทรัพย์สิ้นทั้งหมดเพราะผู้เป็นพ่อเลือกข้างผิดในสงครามกลางเมืองของโรมในยุคนั้นทำให้ครอบครัวโดนดูถูกเหยียดหยามนั่นทำให้ตัวเขารู้สึกคับแค้นอยู่ในจิตใจพร้อมกับต้องการที่จะกู้ศักดิ์ศรีของตระกูลกลับคืนมา
เขาจึงเดินบนเส้นทางนักรบและลักษณะนิสัยที่มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวทำให้เขาได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็วในเวลา 26 ปี จนได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายทหารผู้กุมกองกำลังจนทำให้หลังจากนั้นเขามีบทบาทสำคัญมากมาย โดยเฉพาะในเหตุการณ์ตอนที่ "กองทัพกบฏทาส" ยกกำลังเข้าโจมตีกองทหารโรมันจนแตกพ่ายครั้งแล้วครั้งเล่าและครั้งนั้นกรุงโรมก็กำลังจะถูกโจมตีอีกครั้ง
เวลานั้น แม่ทัพใหญ่ แคร็กซุส เรียกประชุมแม่ทัพนายกอง และความเห็นส่วนใหญ่บอกว่าควรถอยกลับไปตั้งหลักป้องกันกรุงโรม แต่ จูเลียส ซีซาร์ เห็นต่างพร้อมให้เหตุผลว่า ที่ผ่านมาโรมันรบในเกมที่สปาร์ตาคัสกำหนด เราต้องเปลี่ยนเป็นฝ่ายรุกเข้าโจมตีบ้างเขาจึงเสนอให้เข้าโจมตีกองทัพกบฏแบบไม่ทันให้ตั้งตัวในเวลากลางคืนจนมีชัยเหนือกองทัพทาสในที่สุด
จากผลงานที่ยอดเยี่ยมนั่นสิ่งหนึ่งสำคัญที่ต้องมีคือ ดีเอ็นเอ ที่ถูกถ่ายทอดมาสู่คนอิตาลีรุ่นหลังรวมถึง "พลพรรค" ทีมชาติอิตาลี ในยุคปัจจุบันจากการที่นักเตะและทีมชาติสตาฟฟ์โค้ชมีความภาคภูมิใจในการร้องเพลงชาติด้วยการร้องเพลงชนิดตะเบ็งออกมาสุดเสียงดังสนั่นทุกครั้งที่ลงสนามเสมือนเป็นรวมพลังปลุกใจเพื่อลงไปต่อสู้ในสมรภูมิลูกหนังกับคู่แข่งในสนาม ซึ่งเนื้อหาเพลงชาติของพวกเขามีความหมายที่รุนแรงและดุดันเพื่อปลุกเร้าจิตใจให้ห้าวหาญ
ซึ่งทาง โรแบร์โต มันชินี ก็เลือกที่สะท้อนสิ่งดังกล่าวตามแบบฉบับ จูเลียส ซีซาร์ ด้วยการปรับเปลี่ยนสไตล์การเล่นตีหัวเข้าบ้าน จากที่เคยเน้นตั้งรับเหนียวแน่นแล้วหาจังหวะสวนกลับมาเป็นไล่เพรสซิ่งกดดันคู่ต่อสู้แล้วเปิดเกมรุกเข้าใส่อย่างดุดันห้าวหาญเพื่อชัยชนะของทีม แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ทิ้งจุดเด่นของตัวเองนั่นคือความเหนียวแน่นในเกมรับ
หรืออย่างจังหวะที่วินาทีสำคัญของ ทีมชาติอิตาลี ที่พบกับ ทีมชาติสเปน ในรอบรองชนะเลิศ ยูโร 2020 จอร์จินโญ หนึ่งในกองกลางคนสำคัญของทีม ที่รับหน้าที่สังหารจุดโทษลูกสุดท้ายที่บรรยากาศตอนนั้นเรียกได้ว่ากดดันบีบหัวใจสุดๆ เพราะสามารถชี้ขาดผลแพ้-ชนะได้เลย
ทว่าจากการที่มีตัวเขามีดีเอ็นเอของชาตินักรบนั่นทำให้กองกลางผู้เกิดและเติบโตที่บราซิลแต่ได้รับการสืบทอดสายเลือดอิตาเลี่ยนมาจากปู่ทวดทำให้ตัวเขามีจิตใจอันห้าวหาญเยือกเย็นมากพอที่จะกล้ากระโดดยิงจุดโทษซึ่งอันเป็นท่าประจำตัวในการสังหารลูกนิ่งระยะ 12 หลา จนสามารถหลอกล่อ อูไน ซิมอน ผู้รักษาประตูทีมชาติสเปน ให้หลงทางได้อย่างเหนือชั้นจนนำมาซึ่งชัยชนะของทีม