มะระหวาน
ในที่สุดการรอคอยมาเนิ่นนานถึง 55 ปีก็จบลงสำหรับแฟนฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ ที่ทีมรักอย่าง “สิงโตคำราม” ทะยานเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศรายการใหญ่ๆซักที หลังจากครั้งล่าสุดที่ได้เข้าชิงก็ต้องย้อนหลังไปในปี 1966 ที่อังกฤษคว้าแชมป์โลกมาครอง
ก่อนหน้านี้พลพรรค “ทรี ไลออนส์” ก็เกือบผ่านเข้าชิงชนะเลิศในศึกฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซีย แต่ดันพลิกล็อกพ่าย โครเอเชีย ไปหวุดหวิด 1-2 ทำให้สาวก “สิงโตคำราม” ต้องอกหักชอกช้ำไปตามระเบียบ
หลังจากนั้นในปี 2018-2019 อังกฤษก็ทะยานเข้าสู่รอบรองชนะเลิศศึกยูฟ่า เนชันส์ ลีก อีกครั้ง แต่สุดท้ายก็เข้าอีหรอบเดิมพ่ายแพ้ให้กับฮอลแลนด์ อดเข้าชิงไปอีกรายการ
ซึ่งการทะยานเข้าถึงรอบรองใน 2 ครั้งล่าสุดแฟนบอลอังกฤษก็ต่างเริ่มพอเห็นความสดใสในทีมบ้านเกิดบ้างแล้ว เพราะทีมชุดนี้ยังมีการพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้การคุมทีมของแกเร็ธ เซาธ์เกต กุนซือมากฝีมือมาดขรึม
“สิงโตคำราม” ออกสตาร์ตในศึกยูโร ด้วยการเฉือนชนะโครเอเชียไป 1-0 ก่อนจะเสมอกับ สกอตแลนด์ 0-0 ก่อนปิดท้ายด้วยการสอย สาธารณรัฐเช็ก 1-0 เข้ารอบเป็นอันดับ 1 ของกลุ่มเข้าไปเจอกับคู่รักคู่แค้นอย่าง “อินทรีเหล็ก” เยอรมนี ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย
แม้ว่าสถิติในรอบน็อกเอาต์ เยอรมนีเหนือกว่าอยู่หลายช่วงตัว แต่อังกฤษที่กำลังท็อปฟอร์มก็เอาชนะได้อย่างไม่ยากเย็น 2-0 ก่อนจะมาถล่ม ยูเครนในรอบ 8 ทีมสุดท้ายแบบขาดลอย 4-0
ในรอบตัดเชือก อังกฤษต้องเจอกับ เดนมาร์ก ที่พลิกนรกตั้งแต่รอบแรกมาจนถึงรอบนี้ได้ แม้ว่าชื่อชั้น “สิงโตคำราม” จะเหนือกว่า แต่ฟอร์มการเล่นของทัพ “โคนม” ก็ไม่ธรรมดาจะประมาทไม่ได้
แฟนบอลหลายคนก็ต่างวิตกกับอังกฤษในเกมนี้เพราะกลัวจะซ้ำรอยร่วงรอบตัดเชือกอีกครั้ง แต่ในสำนวนของฝรั่งจะมีคำว่า “Third Time Lucky” (เทิร์ด ไทม์ ลักกี้) ที่จะหมายความว่า เมื่อคุณทำผิดพลาดหรือล้มเหลวกับเรื่องเดิมๆ 2 ครั้ง เมื่อมีเหตุการณ์แบบเดิมเกิดขึ้นในครั้งที่ 3 มันจะทำให้คุณโชคดีและประสบความสำเร็จดั่งใจหวัง
ซึ่งมันก็ประจวบเหมาะกับอังกฤษที่เข้ารอบตัดเชือกเป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 3 ปี และสำนวนนี้มันก็ใช้ได้ผลกับพลพรรค “ทรี ไลออนส์” หลังจากเปิดบ้านเฉือนเอาชนะเดนมาร์ก ไปได้หวุดหวิด 2-1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ หลัง 90 นาที เสมอกัน 1-1 โดยฮีโร่ซัดประตูชัยไม่ใช่ใครที่ไหนก็แฮร์รี เคน กัปตันทีมคนเดิม แม้จะซัดลูกโทษไปติดเซฟ แต่เจ้าตัวก็ยังตามไปซ้ำดาบสองให้ อังกฤษเอาชนะไปได้
“สิงโตคำราม” ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ไปเจอ กับกระดูกชิ้นโตที่ขวางทางอยู่อย่าง “อัซซูรี” อิตาลี เรียกได้ว่าการผ่านเข้ารอบชิงครั้งนี้ทำเอาสาวก “สิงโตคำราม” ดีใจกันยกใหญ่ออกมาฉลองกันอย่างเต็มที่
เพราะความอัดอั้นตันใจมาเนิ่นนานที่เห็นบรรดาคู่ปรับอย่างฝรั่งเศส, เยอรมนี หรือสเปน ต่างสลับหมุนเวียนเข้าชิงรายการใหญ่ๆอยู่บ่อยครั้ง หรือแม้กระทั่งอิตาลี ที่ยังเคยเป็นแชมป์โลกปี 2006 มาแล้วเช่นกัน
ตอนนี้วลีเด็ดอย่าง “ฟุตบอล คัมมิ่ง โฮม” หรือ “ฟุตบอลกำลังกลับบ้าน” ก็ได้กลับมากระหึ่มอีกครั้ง ซึ่งอังกฤษถือว่าเป็นถิ่นกำเนิดกีฬาฟุตบอลสมัยใหม่ (ที่มีกติกาชัดเจนแบบในปัจจุบัน) รอคอยมานานถึง 55 ปี ที่ลงเล่นไป 302 เกม ระยะทางกว่า 140,000 ไมล์
อีกเพียงแค่เกมเดียวเท่านั้นที่แชมป์จะกลับมาสู่บ้านเกิดอีกครั้ง
แต่จะสำเร็จหรือไม่ อิตาลีจะเป็นผู้ให้คำตอบวันที่ 11 ก.ค.นี้!!
มะระหวาน