เบี้ยหงาย
ในที่สุดคนไทยก็ได้ดูการถ่ายทอดสดฟุตบอลยูโร 2020 ที่มาเตะกันในปี 2021 และคงจะได้รับชมกันไป 3-4 คู่แล้ว เป็นการรับทราบการได้ดูกันแบบอุ่นๆสดๆ ก่อนที่เกมจะเริ่มขึ้นไม่กี่ชั่วโมงด้วยซ้ำ
จัดเป็นเรื่องมหัศจรรย์เรื่องหนึ่ง เชื่อว่าไม่มีชาติไหนในโลกใบนี้ จะทำได้ หรือ ไม่คิดจะทำ!
นัยว่าจุดเริ่มมาจากการดำริของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีผู้ยิ่งใหญ่ของเมืองไทย ซึ่งแสดงความกังวลว่า ฟุตบอลยูโรเป็นที่สนใจของคนไทยและประชาชนทั้งโลก ปีนี้บ้านเรายังไม่มีการถ่ายทอดสด
อันนี้เป็นคำบอกกล่าวของ “บิ๊กแฮงค์” อนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายกฯ ไม่ได้เขียนขึ้นเองแต่ประการใด และจึงนำมาด้วยการประสานงานกับภาคส่วนต่างๆ ทั้งเอกชนและราชการจนนำมาซึ่งความสำเร็จในการถ่ายทอดสดดังกล่าว
โดยสุดท้ายก็ยืนยันกันว่าไม่ใช้เงินหลวง
เข้ามาเกี่ยว แต่เป็นบริษัท ซัมมิท ฟุตแวร์ จำกัด ซึ่งมีบอสใหญ่ โกมล จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นผู้ซื้อลิขสิทธิ์ทั้งหมด ส่วนตัวเลขที่แท้จริงเท่าไหร่นี่ยังไม่มี การเปิดเผยออกมาชัดๆ มีเพียงท่าน รมต.แฮงค์ ระบุว่าลิขสิทธิ์ก้อนนี้สูงถึง 10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราวๆ 310 ล้านบาท แต่ก็มีเสียงเล็ดลอดออกมาว่ามีการต่อรองกันลงมาได้ คาดว่าจะอยู่ที่ 100 แก่ๆ หรือเกือบ 200 ล้านบาท อันนี้ต้องไปกระซิบถามกันเอาเอง
ฟุตบอลยูโรนั้น ถ้าเป็นเรื่องธุรกิจปกติ กว่าจะลงตัวกันก็ต้องเจรจา วางแผน วางงานกันมานาน เริ่มจากเจรจาซื้อสิทธิ์โดยเอกชน มาหาช่องถ่ายสด ใช้รูปแบบขายสปอนเซอร์ โปรโมต ทำอีเวนต์ หาเงินเข้ามาสนับสนุน และที่ผ่านมามักขาดทุน
จะด้วยจำนวนทีม จำนวนแมตช์ หรือสีสันก็ดี ทำให้ไม่ได้เป็นเกมทำเงินเหมือนฟุตบอลโลก และในอดีตเมืองไทยเราเริ่มมีการถ่ายทอดสด ถ้าจำไม่ผิดครั้งแรกน่าจะเป็นปี 1992 ที่ประเทศสวีเดน และครั้งนั้นเปรียบเป็นเทพนิยาย เมื่อเดนมาร์กทีมนอกสายตาได้แชมป์ไป
เมื่อก่อนลิขสิทธิ์บอลยูโรไม่สูงนัก 2–3 ล้านเหรียญ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงสูงในการทำกำไร และสุดท้ายออกทางเจ๊งเสียมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นช่อง 3 ในยุคที่ยังมี “เทโร” ดำเนินการ หรือรวมทั้ง “อาร์เอส” ก็ประสบมาแล้ว ขาดทุนหนักเสียด้วย ก่อนจะมาฟื้นจากฟุตบอลโลก
นั่นคือรูปแบบปกติของการถ่ายทอดสดฟุตบอลยูโรในเมืองไทย
แต่ครั้งนี้เป็นกรณีพิเศษที่ไม่เคยเกิดขึ้น นั่นหมายถึงเป็นครั้งที่ “ไม่ปกติ”
จากการดำริของ “บิ๊กตู่” ขึ้นมาเท่านั้น อะไรๆ มันดูง่ายดายไปหมด แทบจะเรียกได้ว่า ง่ายกว่าถ่ายทอดสดบอลไทยลีกสักคู่นึงด้วยซ้ำ
สะท้อนได้ชัดเจนว่าประเทศนี้ใครใหญ่ และต้องชี้นำด้วยคนใหญ่คนโตเท่านั้น จึงจะทำได้ อีกทั้งรูปแบบและกระบวนการอย่างนี้คงไม่มีใครทำได้อีกแล้ว ถ้าไม่ใช่รัฐบาลชุดปัจจุบัน
เรียกว่าในเมื่อภาคธุรกิจ ซึ่งสื่อสะท้อนถึงมุมของเศรษฐกิจประเทศโดยรวม ไม่สามารถดำเนินไปอย่างเป็นปกติได้ ก็ยังมีช่องทางพิเศษให้ทำได้ นี่คือตัวอย่างของ “ไทยแลนด์โอนลี่” อีกประการหนึ่ง ที่จับต้องได้!
เราชักจะเคยชินกับรูปแบบทำนองนี้มาแทบทุกวงการแล้ว ที่อื่นอาจจะ “ไม่ปกติ” แต่ที่นี่เมืองไทยสามารถเป็น “ปกติ” ได้ตลอดเวลา
คนไทยโชคดี ได้ดูฟุตบอลยูโร สำนวนนี้กลับมาใช้ได้อีกครั้ง เชิญชมกันให้เต็มอิ่ม เป็นเครดิตของใครแฟนๆคงรู้กันดีอยู่แล้ว
ดูโชคของเราขึ้นอยู่กับเรื่องเช่นนี้...เสมอ...
“เบี้ยหงาย”