บี บางปะกง
เช้าวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ผมได้รับข่าวเศร้าจาก “ไทยรัฐออนไลน์” ถึงการจากไปของ“พี่ตุ๋ย” ศิวดล ชวลิตปรีชา อดีตผู้สื่อข่าวอาวุโสของกราวกีฬาไทยรัฐ และอดีตนายกสมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาแห่งประเทศไทยที่ครองเก้าอี้ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์
ภาพความทรงจำต่างๆในอดีตมันผุดขึ้นมาในหัวสมองเต็มไปหมด พยายามค่อยๆนึกลำดับเรื่องราวครั้งเก่าก่อนที่ตัวเองมีความผูกพันกับ
พี่ชายที่แสนดีคนนี้มายาวนานกว่า 2 ทศวรรษในชายคาหัวเขียว ซึ่งแต่ละเรื่องมันแจ่มชัดอยู่เสมออย่างกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้
จำได้ว่าหนุ่มน้อยรุ่นกระทงอย่างผมเข้ามาเป็นนักข่าวฝึกงานอยู่ที่โต๊ะข่าวกีฬาไทยรัฐเมื่อปี 2538
ช่วงนั้นมีมหกรรมกีฬาซีเกมส์ที่เชียงใหม่ พี่ๆหลายคนขึ้นเหนือไปประจำการภาคสนามอยู่ที่นั่นกันหมด
เหลืออยู่โยงในโรงพิมพ์แค่ไม่กี่คน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือหนุ่มใหญ่รูปหล่อสมาร์ท ท่าทางใจดี ที่เดินเข้ามานั่งหน้าพิมพ์ดีดตัวเก่ง พร้อมกับโปรยยิ้มหวานให้ทุกคน
ก่อนจะก้มหน้ากระแทกนิ้วบนแป้นพิมพ์อย่างมืออาชีพตามสไตล์นักหนังสือพิมพ์รุ่นเก๋าเหล้ายี่ห้อ
นั่นคือครั้งแรกที่ผมได้ทำความรู้จักกับนักข่าวกีฬาผู้เป็นตำนาน ชื่อ “ศิวดล ชวลิตปรีชา”
เจ้าของนามปากกา“คุณตุ๋ย”อันโด่งดัง
...ในคอลัมน์สโมสรนักสู้ของกราวกีฬาไทยรัฐ
และก็เป็น “คุณตุ๋ย” หรือ “พี่ตุ๋ย” คนนี้แหละครับ ที่ให้โอกาสผมเขียนข่าวล่ากีฬาโลก ซึ่งเป็นข่าวสั้นกรอบเล็กๆเป็นครั้งแรก
ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะเป็น “ข่าววิ่งกรุงเทพมาราธอน” นี่แหละ เขียนเสร็จแล้วเอาไปให้
แกดูว่าใช้ได้หรือเปล่า?
ปรากฏว่าพอพี่ตุ๋ยรับไปอ่านดูสักแป๊บนึง ก็เงยหน้ามามองผมแล้วยกนิ้วให้บอกว่าเอาลงไปตีพิมพ์ได้เลย
โอ้โฮ! ความรู้สึกตอนนั้นมันเหมือนได้ “ขึ้นสวรรค์” ภูมิใจโคตรๆเลยล่ะครับ ที่เด็กบ้านนอกคนนึงได้มีโอกาสเขียนข่าวกีฬาลงหนังสือพิมพ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเมืองไทย
จากวันนั้นเป็นต้นมา...พี่ตุ๋ยก็ค่อยๆถ่ายทอดวิทยายุทธ์ในอาชีพ “นักข่าวกีฬา” ทั้งบู๊และบุ๋นให้ผมได้ซึมซับมาโดยตลอด
เรียกว่าเป็น “ครู” คนแรกๆบนเส้นทางสายนี้เลยก็ว่าได้!!
เป็นแบบอย่างของคนที่ใช้ชีวิตอย่างมีสีสัน และไม่เคยคิดมากกับเรื่องอะไรทั้งนั้น ผ่านแล้วก็ผ่านไป
พรุ่งนี้เริ่มต้นใหม่ได้เสมอ ขอแค่ยิ้มสู้กับทุกอุปสรรคที่ผ่านเข้ามาโดยไม่ย่อท้อ แค่นี้ก็สุดยอดแล้ว
ผมไม่แปลกใจเลยครับที่แกได้รับเลือกให้นั่งเก้าอี้ “นายกสมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาแห่งประเทศ
ไทย” ต่อเนื่องยาวนานถึง 15 สมัย 30 ปีเต็ม ซึ่งถือว่าไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
นั่นแสดงให้เห็นว่า “นายกตุ๋ย” เป็นที่รักของเพื่อนพ้องพี่น้องในวงการสื่อกีฬาบ้านเรา
...มากขนาดไหน
“พี่ตุ๋ย” เคยบอกผมว่าเป็นนักข่าวกีฬามาทั้งชีวิตไม่เคยรวยเงินทองกับเค้าซักที
แต่ที่อยู่ตรงนี้ได้เพราะใจมันรัก และ “รวยเพื่อน” เลยอยู่ทนมาตลอด
ดังนั้นคำว่า “เพื่อน-พวก-พ้อง” จึงสำคัญที่สุดสำหรับแก
เป็นเกียรติและภูมิใจเสมอครับ...ที่ได้เป็นน้องของพี่
“คุณตุ๋ย ใจเดียว แต่โรเนียวได้หลายครั้ง”
เห็นมั้ย...ขนาดอำลากันแล้ว ยังยิ้มได้
ทั้งคราบน้ำตาเลย!!!
บี บางปะกง