ป๋อง กพล
ชีวิตของคนเราในบางครั้ง มันมักมีอะไรบางอย่างเข้ามาให้ชีวิตต้องหันเหเปลี่ยนแปลงไปโดยที่บางครั้งเราไม่ต้องการให้เกิดขึ้น หรืออาจจะมีบางครั้งสิ่งที่มันเกิดขึ้นก็มาจากการตัดสินใจของตัวเราเอง ซึ่งบางคนก็กลายเป็นดี บางคนก็กลายเป็นร้าย จนบางครั้งเป็นกลายมาเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตของใครบางคนได้เลยทีเดียว
ยกตัวอย่างง่ายๆ เอาแค่เรื่องใกล้ตัวผม อย่างวงการบันเทิง ดารานักแสดงบางท่านที่เคยโด่งดัง อยู่ไปอยู่มาวันหนึ่ง ก็หายหน้าหายตาไปจากวงการ บางคนไปมีครอบครัวและหันหลังให้วงการ บางคนมีข่าวฉาวจนต้องหายหน้าออกไปเอง หรือแม้แต่บางคนที่เมื่อก่อนอาจจะแทบไม่มีคนรู้จัก แต่อยู่มาวันหนึ่งเค้าค้นพบอะไรบางอย่าง จนวันนี้กลับกลายมาเป็นซุปเปอร์สตาร์ระดับประเทศก็มี
สิ่งเหล่านี้มันคือจุดเปลี่ยนของชีวิตจริงๆ และที่ผมเกริ่นมาทั้งหมดนี้ ผมอยากจะบอกว่า ในวงการฟุตบอล หลายๆ ทีมก็มีจุดเปลี่ยนที่ทั้งดีและไม่ดีต่างกันไปเหมือนกันนะครับ
ถ้าจะยกตัวอย่างให้เห็นอย่างชัดเจนที่สุด ก็คงหนีไม่พ้นทีมอย่างแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ทีมที่ก่อนหน้าที่จะมีพระยาหมื่นเซอร์ อเล็กซ์ เข้ามาคุมทีม เค้าห่างเหินแชมป์มาถึง 26 ปี ซึ่งในช่วงแรกที่เซอร์เข้ามานั้น ทีมก็ลุ่มๆ ดอนๆ ดีบ้างไม่ดีบ้าง จนกระทั่งจุดเปลี่ยนก็มาถึง เมื่ออเล็กซ์นำทีมคว้าถ้วยเอฟเอคัพมาครอบครองได้ ลองนึกดูนะครับว่า ถ้าปีนั้น เซอร์อเล็กซ์ ไม่สามารถคว้าโทรฟี่ใบนั้นมาครอบครองได้ ก็คงจะถูกสโมสรไล่ออกแน่นอน และถ้าเป็นแบบนั้น แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ก็คงไม่มีวันที่จะยิ่งใหญ่มาได้อีกแน่นอน
มีทีมไหนอีกบ้างล่ะที่ทุกคนคิดออกเรื่องของจุดเปลี่ยน เอาแบบชัดๆ อีกสักทีมละกัน มาจากเมืองเดียวกัน เรือใบสีฟ้า แมนฯซิตี้ จุดเปลี่ยนของทีมนี้ก็คงมาจากการเข้ามาของอดีตนายกฯของเราก่อน จากทีมที่บอกตามตรงเลยว่า เป็นได้แค่ลูกไล่ของเพื่อนร่วมเมือง หลังจากอดีตนายกฯเข้าไปซื้อสโมสร ทีมก็ลืมตาอ้าปากขึ้นมาได้แบบผิดหูผิดตา จนกระทั่งมีชีคมาเซ้งทีมต่อไป และหลังจากนั้นสโมสรแห่งนี้ก็สถาปนาตัวเองมาเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่ได้ทันที หลุดพ้นร่มเงาของเพื่อนร่วมเมืองจนเกิดวลีเด็ด Manchester is Blue ขึ้นมาทันที
กับเรื่องราวเหล่านี้ ณ ปัจจุบัน เรากำลังเริ่มจะเห็นเรื่องราวของจุดเปลี่ยนที่เห็นได้มากขึ้นในวงการฟุตบอล และจุดเปลี่ยนนั้นก็คือ เรื่องราวของโค้ช
ในปัจจุบันนี้เราจะเห็นว่า เทรนด์ของโค้ชรุ่นใหม่ๆ มีให้เห็นกันแทบจะทุกฤดูกาล อดีตนักเตะในสมัยที่เราทันเห็นเค้าโลดแล่นอยู่บนผืนหญ้า ปัจจุบันหันมาเป็นโค้ชกันมากขึ้นๆ และทำให้อายุเฉลี่ยของโค้ชในแต่ละปีก็มีน้อยลงไปผิดกับสมัยก่อน ที่ใครจะมาเป็นโค้ชได้นั้น สิ่งแรกที่ต้องเห็นมาก่อนเลยนั่นก็คือ ต้องเก๋า ต้องคุมทีมมานาน ต้องประสบการณ์สูง
แต่กลับกันสมัยนี้สโมสรต่างๆ กล้าที่จะหันมาใช้โค้ชรุ่นใหม่เข้ามาคุมทีมมากมาย ทั้งที่บางคนแทบจะไม่มีโปรไฟล์ที่ดูเลิศเลอสักเท่าไหร่ ความสำเร็จไม่เคยมี ผลงานบางทีก็ไม่เป็นที่ประจักษ์อะไรมากนัก แต่สโมสรก็พร้อมที่จะเสี่ยง และบางครั้งการเสี่ยงก็ได้ผล ยกตัวอย่างก็คือ ซีดาน ไม่เคยรับงานใหญ่ คุมแต่ทีมเยาวชน แต่พอได้โอกาสขึ้นมาคุมชุดใหญ่ ก็เสกแชมป์ให้กับต้นสังกัดได้มากมาย ซึ่งเอาเข้าจริงๆ ก่อนหน้านี้ก็เคยมีเฮียเป๊ปที่เคยทำไว้ได้เหมือนกันกับบาร์เซโลนา
ผมไม่แน่ใจนะครับว่า นั่นมันถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนของวงการหรือป่าว แต่ ณ ปัจจุบันนี้ เทรนด์นี้กำลังมาแรงแซงทางโค้ง อดีตนักเตะเริ่มหันมาคุมงานโค้ชกันมากขึ้น เชลซี มี แฟรงค์ อาร์เซนอล มี อาร์เตตา เรนเจอร์ มีเฮียเจิด แถมล่าสุด สดๆ ร้อนๆ ยูเวนตุส ก็กล้าที่จะเอากุนซืออย่าง อันเดรีย ปีร์โล ที่เพิ่งจะแต่งตั้งให้คุมทีมเยาวชนหมาดๆ ดันขึ้นมาคุมชุดใหญ่เสียอย่างนั้น
ซึ่งผมไม่แน่ใจเหมือนกันนะครับว่าหลังจากนี้ไป เราจะเห็นจุดเปลี่ยนแบบนี้เพิ่มขึ้นอีกหรือไม่ แต่ผมบอกได้เลยว่า ผมชอบนะ มันคงถึงยุคๆ หนึ่งที่เราเคยเห็นขรัวเฒ่าทั้งหลายนำความสำเร็จมาสู่สโมสร แต่นับจากนี้ไป เราจะเห็นกุนซือหนุ่มไฟแรงนำพาวงการฟุตบอลให้ตื่นเต้นมากขึ้น สนุกมากขึ้น และสุดท้ายพวกเค้าคนใดคนหนึ่งคงจะก้าวไปเป็นตำนานของกุนซือ และก้าวไปเป็นกุนซือระดับโลกในที่สุด