ไทยรัฐออนไลน์
วันที่ 25 พฤษภาคม ปี 2005 หรือเมื่อ 15 ปีที่แล้ว อาจเป็นค่ำคืนที่ "โลกทั้งโลก" ได้ยินเสียงเพลงเชียร์แห่งตำนาน อย่างเพลง You'll Never Walk Alone ซึ่งถูกแผดเสียงออกมาจากพลังของเหล่า "THE KOP"
ที่มันทั้ง "ดังหนวกหู" และ "เนิ่นนาน" มากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์
คนทั้งโลกเรียกค่ำคืนอันดื่มด่ำจนเป็นที่ "ริษยา" ของ "แฟนบอลบางทีม" ว่า "ปาฏิหาริย์แห่งอิสตันบูล"
"ปาฏิหาริย์" ที่ทำให้ "สโมสรลิเวอร์พูล หงส์แดงตะแคงฟ้า" ผงาดคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ได้เป็นสมัยที่ 5 มากที่สุดในประเทศอังกฤษ (ปัจจุบัน 6 สมัย) ในขณะที่ "บางทีม" ที่ปัจจุบันกำลังอยู่ในช่วงขาลง ทำได้เพียง 3 สมัย และอาจลดเหลือเพียง 2 สมัย หาก "จอห์น เทอร์รี" กัปตันทีมสิงห์บลู "เชลซี" ไม่พลาดท่า "ลื่นล้ม" แบบไม่น่าเชื่อ ขณะยิงลูกโทษตัดสินในนัดชิงยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ปี 2008!
อุ๊ย!...หยอกกันนิด หยิกกันหน่อย อย่าโกรธกันนะ RED DEVIL...
เอาล่ะ... ก่อนจะโดนไล่เตะ เราไปที่ค่ำคืนอันดื่มด่ำแห่งปาฏิหาริย์ที่อิสตันบูลกันต่อดีกว่า นอกจากมันจะ "ปาฏิหาริย์" เพราะการ "COMEBACK" อันใหญ่ยิ่งแล้ว ณ คืนวันที่ 25 พฤษภาคม ปี 2005 มันยังตรงกับเหตุการณ์ที่สโมสรลุ่มแม่น้ำเมอร์ซีย์ไม่มีวันลืมเลือน
เพราะมันตรงกับเหตุโศกนาฏกรรมที่ "สนามเฮย์เซล สเตเดียม" เวียนมาบรรจบครบ 35 ปี พอดิบพอดี!
อะไรคือเหตุโศกนาฏกรรมที่สนามเฮย์เซล สเตเดียม?
มันคือ เหตุการณ์ที่แฟนบอลลิเวอร์พูลยกพวก "บุกถล่ม" เหล่าสาวกยูเวนตุสถึงบนอัฒจันทร์ ที่สนามเฮย์เซล สเตเดียม กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ในนัดชิงชนะเลิศยูโรเปี้ยนคัพ ที่ทั้งคู่โคจรมาพบกัน จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตถึง 39 ศพ (ส่วนใหญ่เป็นแฟนบอลยูเวนตุส) และบาดเจ็บอีกกว่า 600 คน เมื่อปี 1985
และเพราะ "เหตุรุนแรง" ที่ THE KOP ก่อเรื่องก่อราวขึ้นนี้เอง ทำให้สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป หรือ "ยูฟ่า" ตัดสิน "ลงโทษ" ห้ามสโมสรฟุตบอลจากประเทศอังกฤษทุกสโมสร เข้าร่วมการโม่แข้งในศึกถ้วยยุโรปนานถึง 5 ปี!
ก่อนลงสนาม คำจำกัดความ "ความแตกต่าง"
แล้วเพราะเหตุใด มันจึงถูกเรียกว่า "ปาฏิหาริย์" น่ะหรือ?
นั่นก็เพราะลิเวอร์พูล "เป็นรอง" คู่ต่อสู้ในนัดชิงแบบสุดกู่ ไม่ว่าจะเป็น...
คู่ชิงชัย คือ สโมสรที่มีนามว่า เอซี มิลาน "บิดาแห่งศาสตร์เพรสซิ่ง" และหนึ่งในมหาอำนาจลูกหนังโลก ณ เวลานั้น...
ทีมซึ่งอุดมไปด้วยแนวรุกนรกแตก อย่างกองหน้าที่ดีที่สุดคนหนึ่งในโลก "อังเดร เชฟเชนโก" เพชฌฆาตโป้งปิดบัญชี "เฮอร์นัน เครสโป" กองกลางเชิงเทพ "อังเดร ปีร์โล" และ "คลาเรน เซดอลฟ์" และแน่นอน เทพบุตรลูกหนัง "กาก้า" และกองหลังสุดโป๊ก อย่างสุดยอดแบ็กซ้ายที่ดีที่สุดตลอดกาล "เปาโล มัลดินี" เซ็นเตอร์คู่บู๊บวกบุ๋น อย่างไอ้หน้าหล่อขวัญใจสาวไทย "อเล็กซ์ซานโด เนสตา" และมนุษย์เหล็ก "ยาป สตัม"
เรียกว่า แข็งกว่านี้ก็คอนกรีตเสริมเหล็กบวกไทเทเนียมแล้ว!
ในขณะที่ ลิเวอร์พูลมีนักเตะแบบ "ฌิมี ตราโอเร" กองหลังตัวตลกที่มักสร้างความบันเทิงให้กับคู่แข่ง ด้วยการทำพลาดจนเสียประตูมากมาย ยืนตระหง่าน (อย่างน่าเป็นห่วง) ในรายชื่อ 11 คนแรก
แถมเพียงเมื่อครึ่งแรกผ่านพ้น ยังถูกคู่แข่งที่เหนือกว่าดังที่ว่าไป ไล่ต้อนอยู่ฝ่ายเดียว จนถูกยิงนำถึง 3 ลูก!
ครึ่งแรก มิลาน 3 ลิเวอร์พูล 0 คำจำกัดความ THUNDER กาก้า "ฉีกเราเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย!"
มัลดินี นาทีที่ 1, เครสโป นาทีที่ 39 และ 44
ลีลาบรรเลงเพลงลูกหนังของอันเดรีย ปีร์โล, คลาเรนซ์ ซีดอร์ฟ และกาก้า สามประสานในแดนกลางของมิลาน "ฉีกเราจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจนไม่เหลือชิ้นดี!"
เราสู้พวกเขาไม่ได้เลย ผมไม่เคยเจอทีมที่เก่งกาจขนาดนี้มาก่อน โดยเฉพาะกาก้า ผมใช้เวลาตลอดครึ่งแรกไล่ตามชายคนนี้ แต่ทำได้เพียงไขว่คว้าเงาของเขาเท่านั้น "กาก้า" คือ สายฟ้าดีๆ นี่เอง ผมไม่เคยเจอใครที่ไปกับลูกบอลได้เร็วขนาดนี้มาก่อนเลย
แถมหลังจาก "พวกเรา" โดน "เฮอร์นัน เครสโป" ยิงลูกที่สามในครึ่งแรก ท่าทางของนักเตะมิลาน โดยเฉพาะ "เจนนาโร กัตกูโซ" มิดฟิลด์พันธุ์ดุ ห้องเครื่องของปิศาจแดงดำ ยัง "ทิ้งรอยยิ้มเย้ยหยัน" ขณะเดินออกจากสนามครึ่งแรกเอาไว้ให้ผมด้วย มันเป็นการแสดงออกชัดเสียเหลือเกินว่า พวกเขาคิดว่าทุกอย่างมันจบลงแล้ว ชัยชนะกำลังเดินทางไปที่เมืองมิลาน "สตีเวน เจอร์ราร์ด" นักเตะคนสำคัญที่สุดของลิเวอร์พูล บรรยายถึงเหตุการณ์หายนะในช่วงครึ่งแรก ณ วันนั้น เอาไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติส่วนตัวของเขา
ในขณะที่ "เจมี คาร์ราเกอร์" หนึ่งในผู้ที่ต้องรับผิดชอบโดยตรงกับการ "ถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย" ยอมรับถึงความรู้สึกตัวเอง ณ เวลานั้น ในหนังสืออัตชีวประวัติของตัวเองว่า...
ผมไม่ได้คิดถึงเกมวันนั้นแล้ว ความคิดของผมอยู่ที่ครอบครัวและบรรดาเพื่อนๆ ผมรู้สึกเสียใจมาก ความคิดในตอนนั้นมีเพียงจะทำอย่างไรให้ได้รับความภาคภูมิใจและความเคารพกลับคืนมา?
เพียงเท่านี้ ทุกท่านคงสามารถจินตนาการถึง "หายนะแห่งความต่างวรรณะในระดับการเล่น" ของช่วงครึ่งแรกได้เป็นอย่างดีแล้วนะ!
งั้นเราไปต่อกันที่ "ห้องพัก" ของนักเตะหงส์แดงเมื่อ 15 ปีที่แล้วกันดีกว่า
ทุกอย่างดูเหมือน "จบลงแล้ว" ในสายตาของ "คอบอลทั่วโลก" รวมถึง "แฟนบอลบางทีม" ที่กำลังยิ้มเยาะอย่างกรุ้มกริ่ม และเตรียมกระสุนแห่งความ "ริษยา" แบบจัดเต็ม สาดใส่ "มิตรสหาย" ที่เป็น "คู่แข่ง" ซึ่งขับเคี่ยวขึ้นไปเป็นอันดับหนึ่งของเมืองผู้ดีกันมาหลายทศวรรษ ทันทีที่พระอาทิตย์ของวันใหม่เฉิดฉาย
ห่างชั้น! เล่นแบบนี้ไปถึงนัดชิงได้อย่างไง! ฟลุกชัดๆ! ก็เพราะแบบนี้แหละ ถึงไม่ได้แชมป์พรีเมียร์ลีกกับเขาสักที! และบลา บลา บลา "อภิมหาวาทกรรม" ที่พร้อมเชือดเฉือนดั่งใบมีดโกนถูกจัดเตรียมเอาไว้พร้อมแล้ว!
แต่แล้วก็อย่างที่รู้ๆ กัน มีดที่เตรียมลับสำหรับ "แล่เนื้อหงส์" โดยเฉพาะ ก็ต้องถูกเอาไปพับเก็บแทบไม่ทัน พร้อมกับต้องก้มหน้างุดๆ เพื่อหลบเลี่ยงสายตาเหล่าอริในรุ่งอรุณแทน!
นอกเรื่องอีกแล้ว เราตัดกลับไปที่ "สนามอตาเติร์ก" กันดีกว่า...
ในขณะที่ บรรยากาศในห้องพักของเหล่านักเตะปิศาจแดงดำ "ล้วนเริงร่า" กอดคอร้องเพลงกันฉลองจนเสียงทะลุประตู ชนิดไม่เกรงใจห้องแต่งตัวของ "คู่แข่ง" ที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่มากน้อย เพราะพวกเขามั่นใจว่า ทุกอย่างมันจบลงแล้วเช่นกัน!
หากแต่ในเวลาต่อมา การเฉลิมฉลองราวกับได้แชมป์ไปแล้วที่นักเตะมิลานได้กระทำลงไปในเวลานั้น คือ "สิ่งที่ผิดพลาดอย่างมหันต์" เพราะมันเท่ากับเป็นเหมือนการไปกระตุก "หนวดเสือ" เข้าอย่างจัง
ท่ามกลางความเงียบสงัดในห้องแต่งตัวของลิเวอร์พูล นักเตะบางคนอยู่ในอาการโกรธกริ้ว ในขณะที่บางคนกำลังเศร้าซึม มีคำพูดแหวกทะลุ "ความเงียบงัน" ออกมาว่า....
"ภายใต้สถานการณ์อื่นๆ หรือสำหรับสโมสรที่เล็กกว่านี้ พวกแกอาจมองเพียงว่า ทำอย่างไรถึงจะแพ้ให้น้อยที่สุด เพราะพวกแกไม่อยากแพ้ขาด 4 หรือ 5 ประตู แต่มันต้องไม่ใช่นัดชิงชนะเลิศแบบนี้ พวกแกต้องออกไป แล้วทำมันให้ได้
ลืมครึ่งแรกมันไปซะ พวกแกต้องกลับลงไปยิงประตูให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะเมื่อใดก็ตามที่พวกแกยิงลูกแรกและลูกที่สองได้เร็วเท่าไรพวกแกก็จะเริ่มต้นสร้างความแตกตื่นตกใจให้ไอ้พวกนั้นได้ และลูกที่สามจะตามมาในทันที พวกแกต้องทำได้ เพราะพวกแก คือ ลิเวอร์พูล สโมสรที่จะไม่ยอมถอดใจจนกว่าจะสิ้นเสียงนกหวีด"
คำกระตุกเรียกขวัญเหล่านักเตะที่กำลังจิตใจกระเจิดกระเจิงของ "ราฟาเอล เบนิเตซ" กุนซือของลิเวอร์พูลในมาดสุดสงบนิ่ง ทำให้ทุกคนอยากจะกลับลงไปในสนามอีกครั้ง แต่เพียงเท่านี้อาจจะยังไม่พอ หัวใจของนักเตะลิเวอร์พูลกลับมาพองโตและพร้อมลงไป "หักคอ" นักเตะมิลานให้แดดิ้นคาสนาม เพื่อเอาถ้วยใบโตกลับถิ่นแอนฟิลด์ ด้วยคำพูดของกัปตันทีมที่ยังไม่ขอ "ยอมแพ้" ว่า....
"เฮ้ย พวกแกทุกคนฟังฉันนะ พวกแกได้ยินเสียงอะไรนั่นไหม? (เสียงเพลงเชียร์ You'll Never Walk Alone ที่ยังคงดังกระหึ่มไปทั่วทั้งสนามของเหล่า THE KOP ทั้งๆ ที่ทีมตัวเองตามคู่แข่งอยู่ถึง 3 ลูก)
แฟนบอลทุกคนยังเชื่อมั่นในตัวพวกเราอยู่ พวกเราต้องทำประตูอย่างน้อยหนึ่งลูกเป็นการตอบแทนให้กับแฟนบอลของเราบ้าง เราต้องเลิกคิดถึงเรื่องที่พวกเราโดนนำห่าง 3 ลูก ลงไปเล่นและเล่นให้ดีที่สุด" สตีวีจี สตีเวน เจอร์ราร์ด นักเตะสายเลือดสเกาเซอร์พันธุ์แท้ จิกหัวลูกทีมให้โงหัวขึ้นมา "สู้อีกครั้ง" อย่างเต็มภาคภูมิได้สำเร็จทั้งๆ ที่หลายคนยอมรับในเวลาต่อมาว่า "พวกเขา" ถอดใจไปแล้ว
นั่นแหละ "ค่ำคืนอันดื่มด่ำแห่งปาฏิหาริย์ที่อิสตันบูล จึงบังเกิดขึ้นท่ามกลางเสียงเชียร์อันเกรี้ยวกราดที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของ THE KOP ทั้งมวล!"
ครึ่งหลัง มิลาน 3 ลิเวอร์พูล 3 คำจำกัดความ "COMEBACK แห่งประวัติศาสตร์!"
"ขณะที่ พวกเราก้าวลงสนามในครึ่งหลัง เสียงเพลง You'll Never Walk Alone ยังคงดังกระหึ่มทั่วสนามอตาเติร์ก โอลิมปิก สเตเดียม มันดังและดังมากกว่าเสียงกองเชียร์รอสโซเนรีที่นำอยู่ 3 ลูกเสียอีก! จาก THE KOP เท่าไรกันล่ะ 10,000 20,000 30,000 หรืออาจจะ 40,000 คน ที่อยู่ในสนามพวกเขา พร้อมใจกันยืนและร้องเพลงให้กำลังใจพวกเราแบบสุดเสียง สุดพลังที่มี!" เจสซี ดูเด็ค ผู้รักษาประตูทีมปาฏิหาริย์ รำลึกถึงเสียงสะเทือนปฐพีในวันนั้น
และปรากฏการณ์เสียงเชียร์ที่ยังคงดังลั่นทุ่งอยู่แบบนั้น แม้แต่แฟนบอลมิลานเองก็ยังถึงกับ "ตกตะลึงและมึนงง" ด้วยความไม่เข้าใจมาจนถึงทุกวันนี้
ไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว! "เอลบอส" เทหมดหน้าตัก "เขา" จัดการเปลี่ยนแท็กติกจาก 4-4-2 เป็น 3-5-2 เอา "แฮร์รี คีเวลล์" สตาร์ออสซีที่ได้รับบาดเจ็บออก แล้วใส่ "วลาดิเมียร์ ซมิเซอร์" ลงไปแทน
จากนั้นก็ถึงการตัดสินใจครั้งสำคัญ... "สตีฟ ฟินแนน" แบ็กขวามิสเตอร์มาตรฐานของทีม ถูกเปลี่ยนตัวออกแล้วจัดการส่ง "นักเตะคนสำคัญที่สุดในค่ำคืนวันนั้น" ลงไป "เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่าง" ในสนาม
"นักเตะคนสำคัญ" คนนั้นมีชื่อว่า "ดีทมาร์ ฮามันน์" มิดฟิลด์สายเลือดเยอรมัน ผู้มีสายตาอ่านเกมเฉียบคม ไม่ต่างจาก "นายพล" ใน "สนามรบ" ราฟา ส่ง "เขา" ไปบัญชาเกมในแดนกลาง เพื่อตัดขาด "อัจฉริยะกาก้า" ที่ใช้สมองและสองเท้าฉีก "ลิเวอร์พูล" ออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในครึ่งแรก ให้ "หายตัว" ออกไปจากสนามอตาเติร์ก โอลิมปิก สเตเดียม ในช่วงเวลาที่เหลือทั้งหมดให้จงได้!
บอสเดินมาบอกกับผมว่า ดีดี้ (ฮามันน์) หน้าที่ของ "แก" คือ คอยไป TAKE CARE (ไล่ล่า) กาก้า อย่าให้ไอ้หมอนี่มันทำอะไรได้อย่างอิสรเสรีเหมือนครึ่งแรกอีก มิดฟิลด์ไดนาโมเปิดเผยถึงคำสั่ง "พิฆาตอัจฉริยะ"
"ฮามันน์" ถูกเปลี่ยนตัวลงไป ผมคิดว่า นี่แหละคือ กุญแจสำคัญของเรา "เขา" ทำมันได้จริงๆ หยุดทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังเคลื่อนไหวมาที่บริเวณกลางสนามได้ทั้งหมด และ "เขา" ยังสามารถเก็บลูกบอลเอาไว้กับตัวได้อีกด้วย นี่คือ สิ่งที่สำคัญมากๆ ในคืนนั้น "เจสซี ดูเด็ค" รื้อฟื้นความทรงจำในการ "COMEBACK" ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในโลกของฟุตบอล
ใช่ "เขา" พูดถูก เพราะนับตั้งแต่นาทีที่ 46 เป็นต้นไป หากใครดูเกมในวันนั้น คงจำกันได้ดี "กาก้า" ที่โดดเด่นเหลือเกินในครึ่งแรก ถูก "เงาทะมึน" คอยวิ่งไล่บี้ จนราวกับ "หายตัว" ไปจาก "ฟลอร์หญ้า" และแทบไม่เห็น "เทพบุตรลูกหนังคนนี้" สร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้กับกองหลังลิเวอร์พูลได้อีกเลย!
เมื่อเกมแดนกลางปิศาจแดงดำถูกตัดจนขาดครึ่งตัว ก็ถึงช่วงเวลา "แห่งการเอาคืน!"
เหล่าฝูงนักเตะหงส์แดงออกวิ่งราวกับหมาป่า รุมขย้ำใส่เหล่าผู้ที่คิดว่าตัวเองได้หยิบถ้วย "BIG EAR" ไปประดับไว้ที่ตู้สนามซานซิโรอีกครั้งแล้วในแบบตั้งตัวไม่ติด โดยเฉพาะ "เจอร์ราร์ด" ที่ถูก "ปลดเปลื้อง" ภาระเกมรับ หลังมี "ฮามันน์" ทำหน้าที่แทน นำพลพรรคหงส์แดงบุกเต็มตัว!
ตำนาน 3 ประตู ใน 6 นาที!
"สตีวีจี" คือ ผู้จุดประกายคนแรก เขาสะบัดหัวโขกลูกจากการเปิดของ "ยอห์น อาร์เน รีเซ" แบ็กซ้ายเท้าหนัก ข้ามมือ "ดีด้า" นายทวารร่างโย่งของมิลาน เข้าไปอย่างสวยงาม หลังเริ่มครึ่งหลังไปได้เพียง 9 นาที! (นาทีที่ 54) ลูกแรกที่ต้องได้ให้เร็วที่สุด ตามที่ "เอลบอส" บอก พวกเขาได้มันมาแล้ว!
ในขณะที่ บรรดานักเตะรอสโซเนรี กำลังงุนงงกับประตูที่เสียไป กัปตันลิเวอร์พูลหันหน้าไปที่อัฒจันทร์พร้อมโบกมือปลุกเร้า THE KOP ที่กำลังแผดเสียงตะโกนเชียร์ (ดังอยู่แล้ว) ให้เร่ง "VOLUME" ให้ดังมากยิ่งขึ้นไปอีก!
เหมือนโดนหมัดครอสเข้าเต็มปากเต็มจมูกจนร่าง "ทรุดฮวบ" แต่ยังไม่ทันจะได้ตั้งตัวดี อีกแค่ 2 นาทีต่อมา (นาทีที่ 56) "วลาดิเมียร์ ซมิเซอร์" ปีกร่างเล็ก ที่ลงมาแทนปีกออสซี "แฮร์รี คีเวลล์" ก็จัดการตะบันไกล 25 หลา ส่งลูกบอลพุ่งวาบเสียบตาข่ายซ้ำเข้าไปอีก 2 ประตูต่อ 3!
เหล่านักเตะมิลาน เริ่ม "ขวัญบินออกจากกาย" อย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่อีกฝ่ายกลับมาคึกราวกับ "ม้าศึก"
"ลุยเลย เอาลูกที่สามมาให้ได้!" เจอร์ราร์ดตะโกนใส่ลูกทีมทุกคน เพื่อ "ชาร์จพลังความฮึกเหิมอีกครั้ง"
และแน่นอน "ลิเวอร์พูล" ไม่มีทางปล่อย "โอกาสทอง" แบบนี้ให้หลุดมือไปแน่นอน
นาทีที่ 59 หรืออีกแค่ 3 นาทีต่อมา "สตีวีจี" ถูก "ชายที่เคยทำท่าราวกับเกมนี้มันจบลงแล้ว" ทำฟาวล์ ขณะกำลังทะยานเข้ากรอบเขตโทษเพื่อทำประตูผู้ตัดสินเป่านกหวีดยาว ให้จุดโทษลิเวอร์พูลทันที! กองเชียร์ที่เดินทางจากอังกฤษแหกปากตะโกนจนสนามสั่นสะเทือน ในขณะที่ กองเชียร์ฝ่ายตรงข้ามอ้าปากเหวอ! นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
วินาที...ที่ "ซาบี อลอนโซ" สาวเท้าเข้ายิงเพื่อรีเซตเกมนี้ ไปเริ่มต้นกันใหม่ โลกเหมือนหยุดหมุนชั่วขณะ...
มิดฟิลด์เชิงสูงสัญชาติสเปน ในฐานะผู้ถูกเลือกเบอร์หนึ่ง สำหรับสังหารจุดโทษให้หงส์แดง ง้างเท้าซ้ายซัดเต็มข้อ ใส่ลูกแห่งการตัดสินชะตาเกมนี้
แต่เจ้ากรรม "ดีด้า" นายด่านปิศาจแดงดำ ทิ้งร่างปัดมันเอาไว้ได้ทัน แต่ "อลอนโซ" ยัง "นิ่งพอ" พุ่งทะยานเข้าไปซ้ำ ลูกแห่งการชี้ชะตานี้ จนตุงตาข่าย (นาทีที่ 60)
3 ประตูต่อ 3 ลิเวอร์พูล ทำสำเร็จ! เอาคืน 3 ลูก กับโคตรทีมอย่าง "มิลาน" ในเวลาเพียงแค่ 6 นาที
"ดีทมาร์ ฮามันน์" เล่าถึงวินาทีแห่งความทรงจำนั้นว่า ผมไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า เราจะยิงได้ถึง 3 ลูก ภายใน 6 นาที ตั้งแต่ผมลงมาในครึ่งหลัง ผมลงเตะแบบลืมเวลาไปเลย ครั้งแรกที่ผมเหลือบมองเวลาที่เหลืออยู่ คือ ตอนที่ "ซาบี" กำลังจะยิงจุดโทษ ซึ่งตอนนั้น มันดูเหมือน "แต่ละวินาที" มันช่างยาวนานเสียเหลือเกิน
และเมื่อเขาทำมันสำเร็จ กำลังใจของพวกเราพุ่งสูงชนิดชนเพดาน แฟนบอลของเรา COMEBACK และพวกเราก็ COMEBACK ด้วยเช่นกันอารมณ์ และบรรยากาศในสนามวันนั้น มันเปลี่ยนไปในทันที!
ในขณะที่ "สตีวีจี" บันทึกความทรงจำในส่วนนี้เอาไว้ว่า ตอนได้ประตูนั้น ผมคิดว่า สงสัยคงต้องเล่นถึงช่วงต่อเวลา ก่อนที่จะยิงลูกโทษตัดสินในท้ายที่สุดแน่นอน!
นั่นเป็นเพราะ "เจอร์ราร์ด" รู้ดีว่า "มิลาน" ไม่ใช่ทีมธรรมดา และในขณะที่ "ลูกทีม" ฟื้นจากความตายและกำลังเริงร่าอยู่นั้น "ราฟาเอล เบนิเตซ" จ้องเขม็งไปที่ "คาร์โล อันเชลอตติ" ชายผู้กุมชะตาฝ่ายตรงข้ามทันที นั่นเป็นเพราะ "อันเช" ยังมี "ไพ่ตายในมือ" จรวดความเร็วสูงและมากด้วยทักษะเลือดบราซิเลียน ที่มีชื่อว่า "แซร์จินโญ"
"เบนิเตซ" ศึกษาแท็กติกของกุนซืออิตาเลียนมาเป็นอย่างดีแล้วว่า มักจะเลือกปล่อย "แซร์จินโญ" ลงไปใช้ความเร็วเป็นทีเด็ดในการทำลายแนวรับของคู่แข่งที่กำลัง "ขาอ่อนแรง" ในช่วงท้ายๆ เกม ซึ่งถือเป็น...
"ช่วงเวลาแห่ง ความเป็น ความตาย"
และเมื่อเข้านาทีที่ 86 ก็จริงดังที่คิด "อันเชลอตติ" ปล่อย "แซร์จินโญ" ลงไปป่วนลิเวอร์พูลจริงๆ "ราฟา" ตะโกนสั่งกัปตันทีมคู่ใจที่ข้างสนามทันที "เฮ้ สตีวีจี แกกลับไปเป็นแบ็กขวา คอยวิ่งตามประกบไอ้หมอนั่น"
และตั้งแต่นาทีนั้นเป็นต้นมา "ไอ้หมอนั่น" ที่ "เอลบอส" เอ่ยถึง ก็พา "พระเอกของเรา" ที่ทุ่มเทพลังมาตั้งแต่นาทีที่ 1 ออกทัวร์ จนกระทั่งหมดแรงลงไปนั่งทรุด ขาเป็นตะคริวหลายต่อหลายครั้ง ในช่วงต่อเวลาพิเศษ
ช่วงต่อเวลาพิเศษ คำจำกัดความ "เทพธิดาแห่งชัยชนะไม่ได้อยู่ที่เมืองมิลาน"
ในช่วงต่อเวลาพิเศษ "เทพธิดาแห่งชัยชนะ" น่าจะก้มคารวะให้กับหัวใจนักสู้ที่ไม่ยอมจำนน และเลือกทีมจากเกาะอังกฤษเป็นผู้ที่ได้แบกถ้วยใบโตที่สุดในยุโรปกลับบ้านแน่นอน
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นน่ะหรือ?
คุณจะเชื่อไหมล่ะ? ว่า กองหลังที่แฟนหงส์เป็นห่วงเป็นใยมากที่สุดในสนาม อย่าง "ฌิมี ตราโอเร" ซึ่งมักจะออกลูกเฟอะฟะอยู่เป็นเนืองนิตย์คนนั้น จะเป็นผู้สามารถสกัดลูกยิงของโคตรกองหน้า อย่าง "เชฟเชนโก" ออกจากเส้นประตูได้อย่างหวุดหวิด
อีกครั้ง "เจมี คาร์ราเกอร์" ที่วิ่งจนหมดแรง ตะคริวขึ้นขาไปแล้วหลายครั้ง ก็ยังอุตส่าห์กัดฟันหยุดความพยายามล่าเหยื่อของ "เชฟเชนโก" ได้อีกถึง 2 ครั้ง 2 ครา
และอีกครั้ง "เจสซี ดูเด็ค" นายด่านหงส์แดง โชว์พลังเหนือมนุษย์กระโดดหยุดลูกยิงของเพชฌฆาตสัญชาติยูเครน ในระยะเผาขนหน้าปากประตูตัวเองได้ถึง 2 ครั้งติดต่อกัน
และวินาทีนี้เอง "เจอร์ราร์ด" ได้บันทึกเอาไว้ในความทรงจำส่วนตัว โดยยอมรับว่า "ตอนนั้น ผมคิดว่ามันจบแล้ว ครั้งนี้คงจบแล้วจริงๆ เพราะเหลือเวลาอีกแค่ 2 นาที (ในช่วงต่อเวลาพิเศษ) ลูกบอลตกไปหา "เชวา" (เชฟเชนโก) ที่อยู่ห่างปากประตูแค่ 2 หลา กองหน้าระดับโลกแบบเขาไม่มีทางพลาดแน่นอน แต่ใครจะไปเชื่อว่า "เจสซี" ทำได้ มันเป็นการเซฟประตูที่ไร้เหตุผลใดๆ มันเหมือนมีพลังงานบางอย่างปกป้องเราเอาไว้!"
ด้าน นักเตะผู้กำราบ "กาก้า" สารภาพหมดเปลือกถึงช่วงต่อเวลาพิเศษว่า "ตอนเข้าช่วงต่อเวลาพิเศษ ผมคิดว่าเรามีนักเตะเพียงไม่กี่คนในทีมเท่านั้นที่จะสามารถกัดฟันลงเล่นอย่างยอดเยี่ยมได้ต่อไปอีก หลังส่วนใหญ่แทบหมดพลังไปแล้วในช่วง 90 นาทีที่ผ่านมา และ "คาร์รา" คือ หนึ่งในนักเตะน้อยคนนั้นของเรา "เจมี" อ่านเกมได้อย่างชาญฉลาดมาก และทำให้เรารู้ได้เลยว่า แม้ไม่มีผู้จัดการทีมคอยชี้แนะ แต่เราก็ยังรู้ว่าเราควรจะต้องทำอะไร ในเวลาไหนบ้าง
แต่แม้จะเป็นแบบนั้น ก็ต้องยอมรับว่า "มิลาน" กลับมาข่มเราจนมิด ในช่วงต่อเวลาพิเศษ เพราะพวกเราส่วนใหญ่ต่างหมดแรง และทำได้เพียงกัดฟันวิ่งไล่ตามพวกเขา เพื่อพยายามยื้อต่อไปให้ถึงการยิงลูกโทษชี้ชะตา"
ศึกดวลลูกโทษชี้ชะตา คำจำกัดความ "เจสซี ดูเด็ค" และขาเส้นสปาเกตตีของเขา
มิลาน 2 ลิเวอร์พูล 3
"ความโชคดีและการทำงานอย่างหนักของเรา ในที่สุดก็มาผลิดอกออกผลในวันนี้ 4 ใน 5 นักเตะที่ "อันเชลอตติ" เลือกมาดวลกับเรานั้น พวกเรารู้จักเป็นอย่างดี จากการที่ได้ศึกษารวบรวมข้อมูลสถิติความเคยชินต่างๆ ในการยิงจุดโทษ" เบนิเตซยิ้มกว้างทันทีที่เห็น 5 รายชื่อนักเตะมิลาน
"ตอนที่จะเปิดฉากดวลจุดโทษกัน ผมเดินไปหาโค้ชผู้รักษาประตู เพื่อเปิดดูคู่มือ 100 การยิงจุดโทษของนักเตะมิลาน ก่อนหน้าที่จะถึงนัดชิงแชมเปียนส์ลีก ซึ่งมันมีรายละเอียดถึงขนาดที่ว่า นักเตะคนนี้จะยิงมุมซ้ายหรือขวา มักจะยกมือข้างนี้ขึ้นด้วยความเคยชิน หรือแม้แต่กระทั่ง มุมยิงสุดโปรดที่พวกเขาถนัด" นายด่านโปแลนด์คายความลับเรื่องที่ทำให้สามารถปฏิเสธจุดโทษของนักเตะมิลานได้ถึง 3 ลูก ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ "อังเดร เชฟเชนโก" กองหน้าดินระเบิดที่มา "สิ้นลาย" เอาในนัดนี้
และนอกจาก "รู้ไส้รู้พุง" นักเตะมิลานเป็นอย่างดีแล้ว อีกเคล็ดลับหนึ่งคือ "เจมี คาร์ราเกอร์" ที่โผล่มาติวเข้มว่า...
"เจสซีมานี่ๆ ทำไมแกไม่พยายามสร้างแรงกดดันพวกนั้นให้มากขึ้นๆ กันล่ะ จำ "บรูซ กร็อบเบลาร์" (อดีตนายทวารชื่อดังลิเวอร์พูลยุค 80) ได้ไหม ฉันไม่ต้องการให้แกทำให้พวกนั้นมันหัวเราะ ฉันต้องการให้แกกดดันพวกนั้นให้มากกว่านี้!
จุดโทษลูกแรก ผมเลยลองโยกตัวไปซ้ายที ขวาที ทีละน้อย พร้อมกับยกแขนขึ้นลงๆ ให้เหมือนการส่งสัญญาณมือ เพื่อรบกวนสมาธิพวกนั้น ลูกแรกสำเร็จ หมอนั่น (แซร์จินโญ) ยิงข้ามคาน!
อีก 2 ลูกต่อมา (ที่เซฟได้) ผมเลยลองเขย่าขาให้โยกเยกเหมือน "เส้นสปาเกตตี" ซึ่ง "บรูซ" ทำ เมื่อตอนนัดชิงชนะเลิศยูโรเปี้ยนคัพ ในปี 1984 ซึ่งผมเซฟได้! แต่ผมยอมรับนะว่า ขาผมมันไม่ได้อยู่บนเส้นประตู (ซึ่งผิดกติกา) ผมเลยมองไปที่ผู้ตัดสิน แล้วพูดกับตัวเองว่า ถ้ามองไปที่ตาผู้ตัดสิน ลูกนี้อาจจะถูกให้ยิงใหม่ได้ ผมเลยมองไปที่เหล่า THE KOP ที่กำลังส่งเสียงเชียร์แทน จากนั้นทุกอย่างก็...OK"
วินาทีแห่งการเฉลิมฉลอง MIRACLE OF ISTANBUL!
FIVE FIVE AND FIVE NOT TWO (สำหรับแฟนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ณ โมงยามนั้น)
"แม้จะเป็นผู้แพ้ แต่เชวาและมัลดินี คือ นักเตะมีความเป็นสุภาพบุรุษนักฟุตบอลทุกกระเบียดนิ้ว เชวาบอกกับผม ตอนเราแลกเสื้อกันว่า ทำได้ดีมาก ส่วนมัลดินีจับมือแสดงความยินดีกับผม แล้วพูดว่า มีความสุขกับมันนะ" สตีวีจี ที่หมดแรงข้าวต้มจนเกือบเป็นลม จากการวิ่งไล่ล่าปีกจรวด "แซร์จินโญ" กล่าว หลังจากพา "เรด แมชชีน" คว้า BIG EAR เป็นสมัยที่ 5 ได้สำเร็จ
แต่อย่างไรก็ดี จากคำบอกเล่าของ "เจอร์ราร์ด" เหล่านักเตะผู้แพ้ (น่าจะ) ไม่มีใครสักคนเดียวที่เก็บเหรียญที่ระลึกในฐานะรองแชมป์ในวันนั้นเอาไว้ พวกเขาโยนมันทิ้งกันทุกคน!
ในเวลาต่อมา กัปตันทีมหงส์แดงได้ชี้นิ้วไปที่เหล่ากองเชียร์ THE KOP บนอัฒจันทร์สนามอตาเติร์ก ในก้าวสุดท้าย หน้าถ้วยใบเขื่อง แล้วตะโกนบอกกับ "เลนนาร์ท โยฮันส์สัน" (ประธานยูฟ่า ณ เวลานั้น) ว่า "มันเป็นของพวกเขาทุกคน"
ก่อนที่อีกไม่กี่วินาทีต่อมา อีกหนึ่งตำนานของ "ลิเวอร์พูล" ที่มีรอยด่างในอาชีพนักฟุตบอลเพียงประการเดียว (หากไม่นับแชมป์ฟุตบอลโลก) คือ การไม่เคยได้สัมผัสแชมป์พรีเมียร์ลีก ก็ระดม "จูบ" ลงไปบนถ้วยใบโตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุโรป หลังจากได้รับ "มัน" ผ่านมือของประธานยูฟ่า ด้วยหัวใจอันเปี่ยมสุขที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตการค้าแข้ง
"เจอร์ราร์ด" จูบ จูบ และจูบถ้วยใบนั้นอย่างคลั่งไคล้ จนแม้แต่ภรรยาของเขายังแซวด้วยอารมณ์ขันตอนแบกมันกลับประเทศอังกฤษ ว่า "เธอจูบถ้วยนั่นคืนนั้นมากกว่าจูบฉันทั้งปีเสียอีก!"
และจากจูบ ก็เป็นการจบ ค่ำคืนแห่งปาฏิหาริย์ที่อิสตันบูลใน "วันนี้" ด้วยเช่นกัน
และเพื่อเป็นการรำลึกถึงการครบรอบ 15 ปี ในค่ำคืนอันแสนวิเศษ รวมถึงในวาระที่ใกล้ได้แชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นสมัยที่ 19 หาก "คุณ" เป็นแฟนบอลลิเวอร์พูลก็ขอแรงมาช่วยกันร้องเพลง You'll Never Walk Alone ให้ดังกระหึ่มกันอีกครั้ง เพื่อให้เสียดแทงใจ ไปถึง "แฟนบอลบางทีม" กันเถิด...
Walk on through the wind
เดินฝ่าสายลม
Walk on through the rain
เดินฝ่าสายฝนที่โปรยปราย
Tho' your dreams
ความฝันของคุณ
be tossed and blown
แม้มันจะถูกปลิดปลิวไป
Walk on, walk on
แต่จงเดินต่อไป และเดินต่อไป
With hope in your heart
เพื่อความฝันในหัวใจ
And you'll never walk alone
และคุณจะไม่เดินอย่างเดียวดาย
You'll ne-ver walk a-lone…
คุณจะไม่เดินอย่างเดียวดาย...
อ้อ ส่วนใครที่กำลังขึ้งโกรธอยู่กับการพลาดท่าเสียทีให้กับ "เชลซี" จน(อาจ)อดได้ตัวศูนย์หน้าเยอรมัน นามว่า "ติโม แวร์เนอร์" เราก็อยากขอหยิบยืมวลีคลาสสิกของโลกฟุตบอลมาใช้ในกรณีนี้ ก็แล้วกันนะ...
"เราจะซื้อแวร์เนอร์ไปทำไม ในเมื่อเรามีทั้ง โรแบร์โต เฟอร์มิโน ซาดิโอ มาเน และโมฮาเหม็ด ซาลาห์ อยู่ในทีมแบบนี้" (จริงไหม?).
END CREDIT
15 ปี ผ่านพ้น นักเตะลิเวอร์พูลชุด "ปาฏิหาริย์" กำลังทำอะไรกันอยู่ ในปี 2020?
- เจสซี ดูเด็ค ปัจจุบัน คลั่งไคล้ กีฬาแข่งรถและกอล์ฟ
- สตีฟ ฟินแนน ปัจจุบัน ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
- เจมี คาร์ราเกอร์ ปัจจุบัน นักวิเคราะห์ฟุตบอล ช่องสกายสปอร์ต
- ซามี ฮูเปีย ปัจจุบัน ว่างงาน
- ฌิมี ตราโอเร ปัจจุบัน สตาฟฟ์โค้ชทีมซีแอตเทิล ซาวน์เดอร์ส ในฟุตบอลลีกอเมริกัน
- ชาบี อลอนโช ปัจจุบัน ผู้จัดการทีมเรอัล โซเซียดัด ชุดบี
- หลุยส์ การ์เซีย ปัจจุบัน ว่างงาน
- สตีเวน เจอร์ราร์ด ปัจจุบัน ผู้จัดการทีมกลาสโกว์ เรนเจอร์ส ในสกอตแลนด์
- ยอห์น อาร์เน รีเซ ปัจจุบัน เพิ่งตกงานจากตำแหน่งสปอร์ตไดเรกเตอร์ สโมสร Birkirkara ประเทศมอลตา
- แฮร์รี คีเวลล์ ปัจจุบัน ว่างงาน
- มิลาน บารอส ปัจจุบัน ด้วยวัย 38 ปี ยังค้าแข้งอยู่กับสโมสรบานิค ออสตราวา สาธารณรัฐเช็ก
- วลาดิเมียร์ ซมิเซอร์ ปัจจุบัน ใช้เวลาส่วนใหญ่ เล่นกอลฟ์
- ดีทมาร์ ฮามันน์ ปัจจุบัน นักวิเคราะห์ฟุตบอล ตามสถานีโทรทัศน์
- ฌิบริล ซิสเซ ปัจจุบัน เป็นดีเจ และกำลังพยายามหาสโมสรเล่น เพื่อหวังทำสถิติยิง 100 ประตูในลีกฝรั่งเศสก่อนตาย
ข่าวอื่นๆ :
- คลั่ง หลั่งเลือด The Last Dance เริงระบำหมื่นล้าน Air Jordan
- ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ 3 ทางออก ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ฟาดแข้งแบบปิด
- เหยียดผิว สร้างภาพ ย้อนวาทกรรมผู้นำสหรัฐฯ ไฟแค้นไม่เคยมอดดับ
- "ผู้กอบกู้" เศษซาก JAL พิชิต "ใจ" บทเรียนยกเครื่องสายการบินแห่งชาติ
- สหรัฐฯ-จีน "สงครามน้ำลาย" ต้นตอ โควิด-19 แตกหัก ร้าวลึก รุ่นสู่รุ่น