ป๋อง กพล
คุณเคยรู้สึกเหมือนว่าชีวิต ขาดหายอะไรไปสักอย่างหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น ขาดเพื่อน ขาดแฟน ขาดคนรู้ใจ หรืออะไรก็ตามแต่ที่ คุณจะรู้สึกได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเราอยู่กับมันมานาน เหมือนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต แล้วอยู่มาวันหนึ่ง เค้าเหล่านั้น หรือสิ่งของเหล่านั้น มันได้จากเราไป ถึงแม้ว่าเราจะยังเห็นเค้าอยู่ แต่ก็ไม่อยู่ในที่ที่คุ้นเคย ภาพความทรงจำเหล่านั้นที่เราเคยเห็น มันจะวนเวียนอยู่ในหัวตลอดเวลา ถึงแม้ว่าบางครั้ง เค้าเหล่านั้นจะทำให้เราหมั่นไส้ โกรธ โมโห หรือด่าทอได้แบบไม่ต้องคิด แต่เมื่อถึงวันหนึ่งที่เค้าเดินจากไป มันก็รู้สึกใจหายเหมือนกันนะครับ
ผมยังจำภาพความรู้สึกครั้งแรกได้เป็นอย่างดี วันที่เค้าคนนั้นเดินเข้ามาในบ้านหลังที่สองของผม บ้านที่ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยปัญหา บ้านที่เต็มไปด้วยเผือกร้อน ที่หลายๆ คนมองว่า สุดแสนจะอันตราย ชายผู้ซึ่งมาพร้อมกับรูปร่างที่ผอมบาง สูงชะลูด ใส่แว่นตาใหญ่ๆ บินข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากแดนอาทิตย์อุทัย ซึ่งหลายๆ คนได้แต่เกาหัวว่า เอ็งเป็นใครวะ เอ็งมาจากไหน เอ็งมาทำไม คำถามมากมายเกิดขึ้นกับผู้ชายคนนี้ ว่าเค้าจะมีดีพอหรือที่จะมาอยู่ร่วมชายคาเรา จะพาครอบครัวของเราไปได้ตลอดรอดฝั่ง ตามที่หลายๆ คนตั้งกำแพงได้หรือไม่
ซึ่งตัวผมเองนั้น ก็ถือว่า อยู่ร่วมกับครอบครัวนี้มาอย่างยาวนาน ผ่านผู้นำครอบครัวมาแล้วก็หลายคน มีดีบ้างไม่ดีบ้าง แต่กับผู้นำครอบครัวคนนี้ กับเต็มไปด้วยความต่อต้าน และแอบคัดค้านอยู่บ้างเป็นนัยๆ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก ได้แต่ยอมรับสภาพและทำใจ จนกระทั่ง ผู้ชายคนนี้เริ่มทำงาน หาอะไรใหม่ๆ เข้ามาสู่บ้าน เช่น เปลี่ยนโคมไฟใหม่ เปลี่ยนตู้กับข้าว ทำรั้ว ปลูกหญ้าในสนามหน้าบ้านใหม่ จนบ้านหลังที่ดูจะผุพัง เริ่มกลับมามีความสวยงามมากขึ้น หลายๆ คนก็เริ่มจะเปิดใจยอมรับในความสามารถของผู้นำครอบครัวคนนี้
และเพียงแค่ 1 ปีเท่านั้น เค้าก็สามารถต่อเติมบ้านหลังนี้ให้สมบูรณ์แบบมากขึ้น เมื่อพาบ้านหลังที่เค้าดูแลอยู่ ขึ้นทำเนียบบ้านที่ประสบความสำเร็จในหมู่มวลเหนือเพื่อนบ้านคนอื่นได้ แถมมันเป็นอยู่เหนือหมู่มวลถึง สองขั้นอีกต่างหาก มันก็เลยทำให้ความสงสัยของผู้นำคนนี้หมดไปอย่างรวดเร็ว และเค้าก็พาครอบครัวของเรา เริ่มไปติดลมบน จนเพื่อนบ้านบางคนเริ่มอิจฉา ออกมาดิ้น ออกมาหยันกันเป็นทิวแถว
ซึ่งตลอดระยะเวลาหลายๆ ปีของเค้ามันช่างสุดแสนวิเศษเหลือเกิน ชนิดที่ว่า ผมเองนั้น ได้นอนฝันหวานกับความสำเร็จของเค้าคนนี้อย่างยาวนาน แต่แล้วจนกระทั่งกาลเวลามันพรากความหนุ่มของเค้าลงไปเรื่อยๆ เรี่ยวแรงหรืออะไรก็ตามแต่ที่เค้าใช้มันในการดูแลครอบครัว พาครอบครัวย้ายบ้านมาอยู่บ้านหลังใหม่ที่ใหญ่ขึ้น มันคงจะลดน้อยถอยลงไป จนทำให้บางครั้ง คนในครอบครัวเริ่มก่นด่า ตัดพ้อ ว่าถึงเวลาแล้วหรือไม่ ที่เค้าจะต้องอำลาจากตำแหน่งหัวหน้าครอบครัวของบ้านหลังนี้เสียที แต่ดูเหมือนกับว่า เสียงของคนในครอบครัวไม่ได้ทำให้เค้าสะทกสะท้านอะไรทั้งสิ้น
กลับกลายเป็นว่า เค้ายิ่งกลายเป็นคนแก่ที่เลอะเลือน ไร้ความคิด ราศีที่เคยสง่างาม มันค่อยๆ หมดลงๆ จนไม่เหลือเค้าโครงใดๆ ทั้งสิ้น ยิ่งนานวัน ยิ่งทำให้ครอบครัวเริ่มขับไล่เค้า อยากเอาเค้าไปไว้ที่อื่น คนที่เคยอยู่เคียงข้างเค้า ก็เริ่มจะหันหลังและเดินหนี ลูกบ้านหลายคน ถือป้ายขับไล่ เสียงสรรเสริญ กลายเป็นเสียงสาปแช่ง จนกระทั่งดูเหมือนว่า เสียงสาปแช่งเหล่านั้น มันจะดังมากขึ้นๆ จนกระทั่งเค้าคนนี้ทนไม่ไหว ออกมาประกาศให้ทุกคนได้รู้ว่า เค้าจะเดินออกจากบ้านหลังนี้ออกไปแล้วนะ ตามที่ทุกคนต้องการ ถึงแม้ว่าใจของเค้าอยากจะอยู่บ้านหลงนี้จนวันตาย แต่เมื่อถึงเวลา มันก็เป็นไปไม่ได้ คนเรามีพบก็ต้องมีจาก มีรักก็ต้องมีเลิก มีชอบก็ต้องมีเกลียด และตลอดระยะเวลา 22 ปีของเค้า มันได้สิ้นสุดลงแล้ว นับจากนี้ เหลือเวลาอีกไม่กี่วันเท่านั้น ที่เราจะได้เห็นภาพของชายแก่ที่นั่งอยู่ข้างสนาม คอยเอามือรูดซิปเสื้อ หรือเอาขวดน้ำเคาะพื้นเล่นเวลาที่ทำผลงานไม่ดี
ภาพความเคยชินมันกำลังจากพวกเราไปแล้ว ผมบอกตรงๆ เลยนะครับว่า ถึงแม้จะมีหลายครั้งที่เคยสาปแช่งเค้าไปบ้าง แต่พอถึงเวลาจริงๆ กลับเตรียมตัวไม่ทันเหมือนกัน และผมเชื่อเลยว่า หลายๆ คนก็คิดเหมือนกัน ผมบอกไว้ตรงนี้เลยว่า ผมจะจดจำทุกวินาทีของผู้ชายคนนี้ ชายผู้เข้ามาเปลี่ยนแปลงบ้านให้มันยิ่งใหญ่ ชายผู้นำพาซึ่งอะไรหลายๆ อย่างมาสู่คนในครอบครัว เราจะรักและเคารพนายเสมอ ตราบที่เรายังมีลมหายใจ แล้วเราคงจะได้เจอกันอีกครั้งในบ้านหลังนี้ ขอบคุณนายมาก "อาร์แซน เวนเกอร์"