จ๊อกกิ้งบอย
พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง
เป็นแรงกระเพื่อมลูกใหญ่ที่สั่นคลอน “ความเชื่อมั่น” ในการบริหารงานของสมาคมลูกหนังไทยยุค 4.0 อย่างแท้จริง!
กับการร่วงตกรอบแรกฟุตบอลชายเอเชียนเกมส์ในรอบ 24 ปี ของขุนพลนักเตะทีมชาติไทย
และเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่บอลรายการนี้เปลี่ยนมาใช้ผู้เล่นยู-23 ที่แข้งช้างศึกไม่ได้ไปต่อ หลังจากปูซานเกมส์ 2002 เป็นต้นมา อย่างแย่ที่สุดของทีมไทยเราก็คือ รอบ 8 ทีมสุดท้าย
จากนี้ไปบรรดา “ผู้รับผิดชอบ” และทีมงานที่เกี่ยวข้องทั้งหลาย ก็คงต้องเตรียมหาเหตุและผลที่มันพอฟังได้
เอาไว้อธิบายกับทางการกีฬาแห่งประเทศไทย และผู้หลักผู้ใหญ่ของคณะกรรมการโอลิมปิกของเราด้วยว่า “มันเกิดอะไรขึ้น”
ความล้มเหลวของทีมบอลไทยในเอเชียนเกมส์คราวนี้ มี 3 ตัวละครที่ตกเป็นเป้าโจมตีจากมวลมหาแฟนบอลทั่วทั้งประเทศ
แน่นอน คนแรกก็คือหัวหน้าผู้ฝึกสอน อย่าง “โค้ชโย่ง” วรวุธ ศรีมะฆะ ที่ต้องโดนเต็มๆหนักกว่าใครเพื่อน ในฐานะ “หนังหน้าไฟ” ที่ยืนล่อเป้าอยู่ข้างสนาม
คนต่อมาก็คือ “เฮงซัง” วิทยา เลาหกุล ประธานเทคนิคคนเก่ง (รึเปล่า...ไม่รู้) ลูกพี่สายตรงของ “โค้ชโย่ง” ซึ่งก็กลายเป็น “เป้านิ่ง” ให้คอลูกหนังยำใหญ่ใส่สารพัดไม่แพ้กัน
และที่ต้องโดน (เละ) ไปด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้ ก็คือประมุขใหญ่ อย่าง “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้กุมนโยบายและอำนาจองค์กรทั้งทางตรงและทางอ้อม
แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีกระบวนการดูแล “บริหารจัดการ” เรื่องของภาพลักษณ์ทั้งส่วนรวมไปจนถึงส่วนตัวมาอย่างดิบดีแล้วก็ตาม
แต่กับผลงานอันตกต่ำย่ำแย่ของทีมบอลเอเชียนเกมส์เรา มันได้ก่อให้เกิดวิกฤติ “ศรัทธา” ต่อฟุตบอลไทยในวงกว้างเหลือประมาณจริงๆครับ
ยิ่งท่านนายกสมาคมฯออกมาเปรียบเทียบว่าเยอรมันยังแพ้ตกรอบแรกฟุตบอลโลก แล้วนับประสาอะไรกับทีมชาติไทยทำไมถึงจะพ่ายใครไม่ได้
แถมยังมีวาทะทำนองไม่ยอมรับพวกโซเชียล “จัดตั้ง-อคติ” อีกต่างหาก
ก็เลยยิ่งพาลฉุดให้สถานการณ์ทุกอย่างมันดูดำดิ่งเข้าไปใหญ่
เรียกว่าล้มเหลวในผลงานยังไม่พอ...ดันมาล้มเหลว ต่อการแก้ต่างต่อสาธารณชนอย่างไม่น่าเชื่ออีก...
เช่นเดียวกับนักเตะ (บางคน) ในทีมชุดนี้ ที่เกิดอาการ “หัวร้อน” ไปโพสต์ตอบโต้ ท้าทาย ใครต่อใครก็ไม่รู้อย่างไร้สติ
ทั้งที่ความจริงเป้าโจมตีของผู้คนส่วนใหญ่ มันอยู่ที่ตัวโค้ชและผู้บริหารสมาคมฯ
ส่วนนักฟุตบอลแทบจะไม่มีใครเขาตำหนิ หรือถ้าจะมีวิพากษ์วิจารณ์บ้างก็เป็นส่วนน้อยซะเหลือเกิน
อย่าลืมนะครับ เป็น “นักฟุตบอลทีมชาติ” ก็คือ “คนของประชาชน” ที่ต้องดำรงตนอยู่ด้วยแรง “ศรัทธา” ของแฟนลูกหนัง
วันใดคุณเล่นบอลแล้วไม่มีใครดู ไม่มีใครสนใจ วันนั้นแหละจะรู้สึก
สมาคมกีฬาฟุตบอลไทยชุดนี้ก็เหมือนกัน พึงสำเหนียกไว้ด้วยว่าที่มานั่งบริหารงานอยู่ได้
ไม่ใช่เพราะ “กระแสโซเชียล” มีส่วนสำคัญในการผลักดันกระนั้นหรือ
แล้วตอนนี้กระแสเหล่านั้นกำลัง “ย้อนรอย” กลับมาตรวจสอบสิ่งที่พวกเขาเคยโอบอุ้มมากับมือ
ถามว่า...มันผิดอะไร...!!!
จ๊อกกิ้งบอย