Vision & Vision Pro






หลังเปิด Pre-Order ตั้งแต่วันที่ 19 ม.ค. 2024 จนถึงการเปิดขายอย่างเป็นทางการเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 2 ก.พ. 2024 เป็นต้นมา ล่าสุดมีรายงานว่า Vision Pro ผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Apple ได้ถูกจำหน่ายออกไปแล้วประมาณ 180,000-200,000 ยูนิต ถึงแม้ว่า....รุ่นที่มีราคาถูกที่สุด จะมีราคาสูงถึง 3,499 ดอลลาร์สหรัฐ (124,814 บาท) ก็ตาม!
เป็นผลให้นักวิเคราะห์จาก Wedbush Securities บริษัทที่ปรึกษาด้านการลงทุนและบริหารความเสี่ยงชื่อดัง ได้ “ปรับเพิ่ม” ประมาณการยอดขาย ผลิตภัณฑ์ใหม่แห่งความทะเยอทะยานที่ Apple เรียกว่า “Spatial Computing” ซึ่งเป็นชื่อที่พยายามสื่อความหมายถึง “การคำนวณเชิงพื้นที่เพื่อผสมผสานวัตถุทางกายภาพและดิจิทัลเข้าไว้ด้วยกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ชีวิตในโลกจริง” จาก 460,000 ยูนิต เป็น 600,000 ยูนิต ภายในปี 2024 ทันที!

Vision Pro อีกหนึ่งสัญลักษณ์ความสำเร็จของ Apple?

มุมมองจากนักวิเคราะห์
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อว่า “ยังเร็วเกินไป” ที่จะประเมินว่า Vision Pro ประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง?
เนื่องจากโดยทั่วไปแล้ว บรรดาสาวกที่หลงรักในแบรนด์ผลไม้มาเนิ่นนาน ต่างพร้อมและยินดีที่จ่ายในราคาเท่าใดก็ตาม สำหรับผลิตภัณฑ์ชิ้นใหม่ที่เพิ่งออกสู่ท้องตลาดของ Apple อยู่แล้ว
ฉะนั้น การเปิดขายอย่างเป็นทางการในรอบที่ 2 หลังจากบรรดาสาวกผลไม้ส่วนใหญ่ ได้ครอบครอง Vision Pro เอาไว้ในมือแล้ว จึงน่าจะพอเป็นตัวที่สามารถชี้วัดในเรื่องนี้ได้
นอกจากนี้ อีกหนึ่งตัวชี้วัดที่ง่ายที่สุดสำหรับข้อบ่งชี้ที่ว่า Vision Pro ประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหนก็คือ จำนวนแอปพลิเคชันสำหรับการใช้งาน Vision Pro เพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใด หลังการวางจำหน่าย เพราะบรรดานักพัฒนาย่อมไม่มีทางเสียโอกาสในการทำเงินจากจำนวนผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้น

Did you know?

ราคาที่ต้องจ่ายสำหรับ Vision Pro
Apple Vision Pro
256 GB : 3,499 ดอลลาร์สหรัฐ (124,814 บาท)
512 GB : 3,699 ดอลลาร์สหรัฐ (131,980 บาท)
1 TB : 3,899 ดอลลาร์สหรัฐ (139,116 บาท)
ค่าใช้จ่ายอื่นๆ จากอุปกรณ์เสริม
Zeiss Optical
149 ดอลลาร์สหรัฐ (5,316 บาท)
Lenses for Reading
99 ดอลลาร์สหรัฐ (3,532 บาท)
กระเป๋าพกพา
199 ดอลลาร์สหรัฐ (7,100 บาท)
ชุดแบตเตอรี่พกพา
199 ดอลลาร์สหรัฐ (7,100 บาท)
AppleCare+
24.99 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน (891 บาท)
499 ดอลลาร์สหรัฐ 2 ปี (17,804 บาท)

ใครคือกลุ่มผู้ใช้งานหลักของ Vision Pro ในช่วงแรก
International Data Corporation หรือ IDC ผู้ให้บริการข้อมูลและที่ปรึกษาด้านการตลาดเทคโนโลยีสารสนเทศระดับโลก คาดการณ์ว่า ด้วยราคาเปิดตัวที่สูงกว่าคู่แข่งมาก Vision Pro ย่อมไม่ได้หวังมุ่งเป้าไปที่ Mass Audience แน่นอน เพราะฉะนั้นเป้าหมายหลักในช่วงแรกนี้ ย่อมหนีไม่พ้นกลุ่มลูกค้านักธุรกิจที่มีกำลังซื้อสูง


Vision Pro มีอะไรให้ใช้งานบ้าง?

ปัจจุบัน (สิ้นสุดวันที่8ก.พ.24) มีเกมและแอปพลิเคชันรองรับการใช้งาน Vision Pro มากกว่า 600 แอปพลิเคชัน
ผู้ใช้งาน Vision Pro สามารถเข้าถึงภาพยนตร์ 3 มิติได้มากกว่า 150 เรื่องจาก Apple TV
Apple Immersive Video รูปแบบความบันเทิงใหม่จากคอนเทนท์พิเศษในมุมมอง 180 องศา และ 3 มิติ ในระดับความคมชัด 8K
อ้างอิงข้อมูลเว็ปไซต์ Apple
Apple กับการวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ให้กับ Vision Pro
นักวิเคราะห์จาก Deepwater Asset Management บริษัทที่ปรึกษาด้านการลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยี ระบุว่า Apple วางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ Vision Pro ให้แตกต่างจากคู่แข่งค่อนข้างชัดเจน จากการที่ไม่มุ่งเน้นไปที่การเอาชนะใจบรรดาเกมเมอร์ฮาร์ดคอร์


โดย Apple โฟกัสไปที่การนำเสนอแนวคิดที่ว่า Vision Pro สามารถถูกนำไปใช้งานได้ในชีวิตประจำวันตามปกติเป็นหลัก โดยสิ่งที่สามารถยืนยันในเรื่องนี้ได้ก็คือ จากจำนวนมากกว่า 600 แอปพลิเคชันสำหรับการใช้งานของ Vision Pro นั้น เป็นหมวดเกมเพียง 40% ในขณะที่คู่แข่งสำคัญอย่าง Meta Oculus Quest 3 นั้น 70% อยู่ในหมวดเกม


Vision Pro ราคาถูกลง?

นักวิเคราะห์จาก Wedbush Securities บริษัทที่ปรึกษาด้านบริหารความเสี่ยงและให้ให้คำแนะนำด้านการลงทุน เชื่อมั่นว่า Vision Pro รุ่นที่ 2 ซึ่งคาดว่าอาจจะเปิดตัวในปี 2025 น่าจะมีราคาที่ถูกลงในระดับ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ (71,766 บาท) เพื่อให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคในวงกว้างได้
ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง จะมีความเป็นไปได้สูงมากที่ Vision Pro จะสามารถสร้างยอดขายในระดับ 1,000,000 ยูนิต ภายในปี 2025
ตลาด XR หลังการปรากฏตัวของ Vision Pro

นักวิเคราะห์จาก IDC มองว่ากระแสที่เกิดขึ้นหลังการวางจำหน่าย Vision Pro สามารถเรียกร้องความสนใจจากผู้บริโภคได้ในวงกว้าง ซึ่งการกระตุ้นตลาดในลักษณะนี้ อาจส่งผลให้บรรดาคู่แข่งมีทางเลือก 2 ทางสำหรับการเข้าต่อสู้กับ Apple
ข้อที่ 1. เร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความใกล้เคียงทั้งในแง่ประสิทธิภาพและราคาเพื่อต่อสู้กับ Vision Pro โดยตรง
ข้อที่ 2. มุ่งเน้นการพัฒนาจุดแข็งอื่น รวมถึงค้นหาช่องทางการตลาดที่แตกต่าง เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะโดยตรงกับ Vision Pro
อุปสรรค Vision Pro

1. ราคา :
Vision Pro รุ่นที่มีราคาถูกที่สุดอยู่ที่ 3,499 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 124,814 บาท (ยังไม่นับรวมค่าใช้จ่ายสำหรับ Accessories อื่นๆ) ซึ่งด้วยราคาที่สูงขนาดนี้ ย่อมเป็นอุปสรรคสำหรับการเข้าถึงผู้คนจำนวนมากอย่างแน่นอน
อีกทั้งต้องไม่ลืมด้วยว่า ผลิตภัณฑ์ของคู่แข่งที่สำคัญๆ ก็มี “ราคามาตรฐาน” ที่ต่ำกว่ากันมาก เช่น PICO 4 รุ่นราคาเริ่มต้น (128 GB) มีราคาเพียง 425 ดอลลาร์สหรัฐ (15,210 บาท) หรือ Meta Oculus Quest 3 รุ่นราคาเริ่มต้น (128 GB) ซึ่งมีราคาเพียง 499 ดอลลาร์สหรัฐ (17,859 บาท)
อุปสรรค Vision Pro

2. The Digital Markets Act
ไม่ต่างจาก Big Tech รายอื่นๆ Apple กำลังประสบปัญหาจาก “พระราชบัญญัติการตลาดดิจิทัล” (The Digital Markets Act) หรือ DMA ของ สหภาพยุโรป ซึ่งเป็นกฎหมายที่ออกมาเพื่อควบคุมธุรกิจบนดิจิทัลแพลตฟอร์ม โดยเฉพาะโซเชียลมีเดียและตลาดออนไลน์ เพื่อไม่ให้มีอำนาจผูกขาดบริการออนไลน์มากจนเกินไป จนเป็นผลให้ Apple ต้องจำยอมอนุญาตให้มีการโหลดแอปพลิเคชันจาก Third-Party นอก App Store รวมถึง อนุญาตให้นักพัฒนาสามารถเสนอตัวเลือกการชำระเงินแก่ผู้ใช้งานนอกระบบการชำระเงินของ Apple ได้
ส่วนในสหรัฐฯ เอง มีรายงานว่ากระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ อาจเตรียมใช้กฎหมายต่อต้านการผูกขาด (Antitrust Lawsuit) กับ Apple จากกรณีควบคุมทั้ง Hardware และ Software เพื่อล็อกผู้บริโภคให้อยู่ในระบบนิเวศเพื่อเอาเปรียบคู่แข่ง
ซึ่งประเด็นปัญหาในแง่กฎหมาย ที่อาจกินระยะเวลาการต่อสู้คดีอีกหลายๆ ปีนับจากนี้ ถูกนักวิเคราะห์มองว่า นอกจากอาจทำให้ Apple เสียสมาธิในการผลักดันผลิตภัณฑ์ใหม่ชิ้นนี้เข้าสู่ตลาดในวงกว้างแล้ว ความพยายามในการดิ้นรนเพื่อหนีให้พ้นบ่วงกฎหมาย อาจสร้างบาดแผลทางธุรกิจให้ลึกมากยิ่งขึ้นกับบรรดาผู้พัฒนาแอปพลิเคชัน จนกระทั่งทำให้ Vision Pro มีแอปพลิเคชัน โดยเฉพาะในหมวด Entertainment และ Game ให้ใช้งานน้อยเกินไปก็เป็นได้
โดยปัจจุบัน (สิ้นสุดวันที่ 8 ก.พ. 2024) เป็นที่น่าสังเกตว่า Netflix, YouTube, Spotify, Meta, TikTok ยังคงไม่ทำแอปพลิเคชันออกมาสนับสนุน Vision Pro โดยเฉพาะแต่อย่างใด
อุปสรรค Vision Pro

3. ตลาดชุดอุปกรณ์ XR ที่ซบเซา
อ้างอิงจากรายงานของ Counterpoint การจัดส่งชุดอุปกรณ์ Extended Reality หรือ XR ทั่วโลก (รวมอุปกรณ์ Virtual Reality หรือ VR และAugmented Reality หรือ AR ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2023 ลดลงถึง 29% เมื่อเปรียบเทียบแบบปีต่อปี ซึ่งถือเป็นปริมาณการสั่งซื้อที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2020 เป็นต้นมา โดยมีปัจจัยสำคัญมาจากความต้องการของผู้บริโภคที่ลดลง เนื่องจากยังไม่พบประสบการณ์การใช้งานที่น่าตื่นตาตื่นใจและแตกต่างได้มากพอ
สอดคล้องกับการคาดการณ์ของ IDC ที่ระบุว่า การจัดส่งชุดอุปกรณ์ XR ทั่วโลกปี 2023 ลดลง 8.3% เมื่อเปรียบเทียบแบบปีต่อปี โดยได้รับแรงกดดันจากปัญหาเศรษฐกิจที่ทำให้การใช้จ่ายภาคครัวเรือนชะลอตัวลง
ส่วนแบ่งการตลาดชุดอุปกรณ์ XR

อ้างอิงจากรายงานของ Counterpoint ระบุว่า ตลาดชุดอุปกรณ์ XR ไตรมาส 3 ปี 2023 ชุดอุปกรณ์ของ Meta ครองส่วนแบ่งการตลาดถึง 49% อันดับที่ 2 คือ Sony 32% อันดับที่ 3 Pico 9% และอื่นๆ 10%
ทำไม Apple จึงนำ Vision Pro ออกสู่ตลาดในเวลานี้

นักวิเคราะห์จาก ARtillery Intelligence ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยธุรกิจ Spatial Computing เชื่อว่า ปัจจัยหลักที่ Apple ตัดสินใจนำ Vision Pro ออกสู่ตลาดในเวลานี้ เป็นเพราะผลิตภัณฑ์เรือธงซึ่งเป็นทั้งแหล่งรายได้หลักและสร้างมูลค่าให้กับบริษัทมายาวนานอย่าง iPhone เริ่มเข้าใกล้จุดอิ่มตัวมากขึ้นทุกขณะ โดยสิ่งที่สามารถยืนยันในเรื่องนี้คือ iPhone รุ่นใหม่ที่เปิดตัวในแต่ละปี เริ่มอิงกับการอัปเกรดมากกว่าความสร้างสรรค์ให้เกิดสิ่งใหม่
ด้วยเหตุนี้ Apple จึงจำเป็นต้องมีแพลตฟอร์มใหม่ๆ ในระบบนิเวศของตัวเอง ซึ่ง Vision Pro คือหนึ่งในคำตอบ ของคำถามที่ว่า...ผลิตภัณฑ์อะไรที่จะเข้ามาแทนที่ iPhone? แม้ว่ามันอาจจะต้องใช้เวลามากพอสมควรสำหรับการทำให้ Vision Pro สามารถเข้าถึงผู้คนจำนวนมากก็ตามที