การแก่งแย่งเพื่อช่วงชิงความเป็นสโมสรอันดับหนึ่งแห่งเกาะอังกฤษ ระหว่างลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ดำเนินมาอย่างยาวนานนั้นมันมีจุดเริ่มต้นมาจากอะไร และบนสมรภูมิที่ถูกขนานนามว่า “The Red Wars” นั้น มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยอะไรที่น่าสนใจ ที่อาจปรุงแต่งให้ “ศึกแดงเดือดเวอร์ชันราชมังคลากีฬาสถาน” ดุเดือดเลือดพล่านขึ้นได้บ้าง เดี๋ยววันนี้ “เรา” ลองค่อยไปละเลียดเติมช้อนแกงความสนุกกันทีละเล็กละน้อย

จุดเริ่มต้นความเป็นอริราชศัตรู :

บทความหนึ่งของสำนักข่าว Manchestereveningnews พูดถึงประเด็นนี้เอาไว้อย่างน่าสนใจว่า ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเกิดการแข่งขันทั้งในด้านวัฒนธรรม การค้าขาย หรือแม้กระทั่งการพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์ เนื่องจากทั้ง 2 เมืองใหญ่นี้ ตั้งอยู่ห่างกันเพียง 56 กิโลเมตร

...

หากแต่สิ่งที่ทำให้ทั้งชาวแมนคูเนียน และสเกาเซอร์ ต่างไม่ชอบหน้ากันจริงๆ น่าจะมีต้นตอมาตั้งแต่ในช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรม เมื่อช่วงต้นศตวรรษที่ 19 เมืองแมนเชสเตอร์เป็นที่รู้จักในฐานะแหล่งผลิตสิ่งทอที่ดีที่สุดในโลก ในขณะที่ลิเวอร์พูลมีท่าเรือขนส่งขนาดใหญ่ที่สามารถนำเข้าและส่งออกสินค้าจำนวนมากในประเทศได้

หากแต่ในเวลาต่อมา เมื่อชนชั้นสูงในเมืองแมนเชสเตอร์ได้รวมตัวกัน ขุดคลองแมนเชสเตอร์ (Manchester Ship Canal) ซึ่งถือเป็นคลองที่ใช้เป็นเส้นทางเดินเรือขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศอังกฤษ โดยมีระยะทางยาวถึง 58 กิโลเมตร ในปี 1894 เพื่อสร้างเส้นทางการค้าใหม่ที่ไม่จำเป็นต้องเสียค่าธรรมเนียมที่สูงลิ่วเมื่อต้องแล่นเรือผ่านเมืองลิเวอร์พูล จุดนี้เองที่ทำให้เมืองท่าการค้าอันรุ่งเรืองในอดีตค่อยๆเสื่อมทรุดลงและทำให้ชาวเมืองลิเวอร์พูลต้องตกงานจำนวนมาก ซึ่งสวนทางกับเมืองแมนเชสเตอร์ที่เจริญรุ่งเรืองขึ้น

ในเวลาต่อมาเมื่อทั้งสองเมืองก่อตั้งสโมสรฟุตบอลขึ้นมา มันจึงกลายเป็นอีกหนึ่งตัวแทนของการปลดปล่อย “ความไม่ชอบหน้า” และการแสดงออกถึง “ฉันเหนือกว่าแก” ระหว่างทั้งสองฝ่ายไปในที่สุด

สำหรับสถิติการเปิดอภิมหาสงครามศึกแดงเดือดระหว่างลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นั้น มีตัวเลขที่น่าสนใจดังต่อไปนี้....

History of the Red Wars

ทั้งนี้ จำนวนโทรฟีที่หงส์แดง เก็บสะสมมาได้ถึง 69 แชมป์นั้น ประกอบด้วย แชมป์พรีเมียร์ลีก (ดิวิชัน 1) 19 สมัย, FA Cup 8 สมัย, ลีกคัพ 9 สมัย, แชมเปียนส์ลีก 6 สมัย, ยูโรปาลีก (ยูฟาคัพ) 3 สมัย, ยูฟาซุปเปอร์คัพ 4 สมัย, ฟีฟ่าคลับ เวิลด์คัพ 1 สมัย, คอมมูนิตี้ชิลด์ 15 สมัย, เดอะแชมเปียนชิพ (ดิวิชัน 2) 4 สมัย

ส่วนสถิติ 67 แชมป์ ของ ยูไนเต็ด ประกอบด้วย แชมป์พรีเมียร์ลีก (ดิวิชัน 1) 20 สมัย, FA Cup 12 สมัย, ลีกคัพ 5 สมัย, แชมเปียนส์ลีก 3 สมัย, ยูโรปาลีก (ยูฟาคัพ) 1 สมัย, คัพวินเนอร์คัพ 1 สมัย, ยูฟาซุปเปอร์คัพ 1 สมัย, ฟีฟ่าคลับ เวิลด์คัพ 1 สมัย, คอมมูนิตี้ชิลด์ 21 สมัย, เดอะแชมเปียนชิพ (ดิวิชัน 2) 2 สมัย

สำหรับเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่น่าในสนใจท่ามกลาง “การชิงดีชิงเด่น” ระหว่าง 2 สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งเกาะอังกฤษนั้น ประกอบด้วย

เรื่องที่ 1 เซอร์ แมตต์ บัสบี้ เคยเป็นนักเตะลิเวอร์พูล

บุรุษผู้มีอิทธิพลต่อประวัติศาสตร์อันยาวนานของยูไนเต็ด และเป็นผู้นำสโมสรปิศาจแดงคว้าแชมป์ยูโรเปียนคัพ (แชมเปียนส์ลีก) ได้เป็นครั้งแรก เคยเป็นนักเตะของ “ลิเวอร์พูล” โดยลงเล่นไปถึง 115 นัด ทำได้ 3 ประตู อีกทั้งยังเคยได้รับข้อเสนอให้เป็นผู้จัดการทีมของหงส์แดงอีกด้วย เพียงแต่เจ้าตัวปฏิเสธ และตัดสินใจไปคุมยูไนเต็ดแทน จากนั้นส่วนที่เหลือ คือ ตำนาน...

...

เรื่องที่ 2 ไม่มีการซื้อขายนักเตะโดยตรงระหว่างทั้งสองสโมสรมานานเกือบ 58 ปีแล้ว

โดยผู้เล่นคนสุดท้ายที่มีการซื้อขายโดยตรงระหว่างกัน คือ ฟิล คิสนอลล์ (Phil Chisnall) ในปี 1964 โดยเป็นการย้ายจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มา ลิเวอร์พูล อย่างไรก็ดี กาเบรียล ไฮน์เซ อดีตแบ็กซ้ายทีมชาติอาร์เจนตินา เกือบกลายเป็นผู้ฝ่าฝืนกฎเหล็กที่ว่านี้คนแรกในรอบหลายทศวรรษ หลังลิเวอร์พูลติดต่อขอซื้อตัวในปี 2007

อย่างไรก็ดี ดีลนี้ไม่เกิดขึ้นเพราะ “บรมกุนซือ” เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตะโกนใส่หน้าเอเย่นต์ส่วนตัวของไฮน์เซ ไปดังๆ ว่า “แกไม่รู้หรือไงว่ายูไนเต็ดไม่มีวันขายนักเตะให้ลิเวอร์พูล” และด้วยคำพูดนี้เอง แบ็กซ้ายทีมชาติอาร์เจนตินา จึงได้ย้ายไปอยู่กับเรอัล มาดริดแทน

...

เรื่องที่ 3 12 นักเตะที่เคยค้าแข้งให้กับทั้งสองทีม

จนถึงปัจจุบันยังคงมีเพียงนักเตะ 12 คนเท่านั้นที่เคยลงเล่นให้กับทั้งลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ผ่านการซื้อขายโดยตรงและซื้อขายทางอ้อม (ย้ายไปสังกัดอื่นก่อนถูกซื้อตัวมาร่วมทีม)

กรณีย้ายทีมโดยตรงจากลิเวอร์พูลไปยูไนเต็ด 1. ทอม ชาร์ลตัน (ปี 1912) 2. ทอม มิลเลอร์ (ปี 1920) 3. ทอมมี รีด (ปี 1929) 4. ทอม ซาเวจ (ปี 1938) ส่วนกรณีย้ายทีมทางอ้อม ไมเคิล โอเวน (ปี 2009) โดยเบบี้โกล ออกจากหงส์แดงไปอยู่กับ เรอัล มาดริด และนิวคาสเซิล ก่อนจะไปอยู่กับยูไนเต็ด

ส่วนกรณีย้ายทีมโดยตรงจากปิศาจแดงไปลิเวอร์พูล 1. แจ็กกี เชลดอน (ปี 1913) 2. เฟรด ฮ็อปกิน (ปี 1921) 3.โธมัส แมคนูตี้ (ปี 1954) 4. ฟิล คิสนอลล์ (ปี 1964)

ส่วนกรณีย้ายทีมทางอ้อม 1. ปีเตอร์ เบียร์ดสลีย์ ย้ายออกจากยูไนเต็ด ไปอยู่กับ แวนคูเวอร์ ไวท์แคปส์ และ นิวคาสเซิล ก่อนจะไปเป็นตำนานที่ลิเวอร์พูล 2. พอล อินซ์ อดีตฮาร์ดแมนของปิศาจแดง ย้ายออกจากแมนยูฯ ไปอยู่กับ อินเตอร์มิลาน ก่อนจะโยกไปอยู่ถิ่นแอนฟิลด์

...

เรื่องที่ 4 การเผชิญหน้ากันเพียงครั้งเดียวบนเวทียุโรป

แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า สโมสรอายุ 144 ปี (ก่อตั้งปี 1878) อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และลิเวอร์พูล ที่มีอายุถึง 130 (ก่อตั้งปี 1892) และเคยคว้าแชมป์ถ้วยยุโรปได้รวมกันถึง 21 โทรฟี เพิ่งเคยเผชิญหน้ากันในเวทีฟุตบอลยุโรปเพียงครั้งเดียวในปี 2016 โดยเป็นการแข่งขันในศึกยูโรปาลีกรอบ 16 ทีมสุดท้าย ซึ่ง ลิเวอร์พูล เป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ ด้วยสกอร์รวม 2 นัด 3 ประตูต่อ 1

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
กราฟิก : Anon Chantanant 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :