ในที่สุดปัญหาการแพร่ระบาดโควิด-19 ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งล่าสุดทำให้มีผู้ติดเชื้อรายวันในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาสูงถึงระดับ 70,000-80,000 คนต่อวัน ได้กดดันให้คณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐฯ (Food and Drug Administration) หรือ FDA ตัดสินใจอนุญาตให้มีการฉีดวัคซีนสูตรไขว้ (Mix and Match) เพื่อเป็นวัคซีนเข็มกระตุ้นให้กับชาวอเมริกัน 15 ล้านคน ที่ฉีดวัคซีนจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (J&J) ครบสูตร (1 เข็ม) และอีก 69 ล้านคน ที่ฉีดวัคซีนโมเดอร์นา (Moderna) ครบสูตร (2 เข็ม) แล้ว

โดย FDA ให้เหตุผลถึงการตัดสินใจครั้งสำคัญนี้ว่า เป็นเพราะผลการศึกษาวัคซีนสูตรไขว้ของสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ (National Institutes of Health) หรือ NIH ที่มีการเผยแพร่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ในกลุ่มตัวอย่างอาสาสมัคร ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ใหญ่ (Adults) มากกว่า 450 คน ที่ได้รับวัคซีน 1 ใน 3 สูตร ที่มีการอนุญาติให้ใช้ได้ในสหรัฐฯ 3 ชนิด คือ ไฟเซอร์ โมเดอร์นา และจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ครบสูตรก่อนหน้านี้ เมื่อถูกแยกเป็นกลุ่มๆ เพื่อทดลองฉีดวัคซีนสูตรเดิม และวัคซีนต่างสูตร พบว่า อาสาสมัครที่เข้ารับการทดสอบที่ได้รับวัคซีนไฟเซอร์และโมเดอร์นาครบสูตร หากได้รับวัคซีน mRNA เป็นเข็มกระตุ้น ไม่ว่าจะเป็นโมเดอร์นาหรือไฟเซอร์ ก็จะมีระดับภูมิคุ้มกัน (Antibody) หลังผ่านไป 2 และ 4 สัปดาห์ เพิ่มสูงในระดับที่แทบไม่แตกต่างกันมากนัก และไม่พบผลข้างเคียงร้ายแรง

...

ส่วนผู้ได้รับวัคซีน J&J มาก่อน เมื่อได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นเป็นไฟเซอร์หรือโมเดอร์นา พบว่าจะมีระดับภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้นสูงกว่าการฉีดเข็มกระตุ้นด้วยวัคซีน J&J เช่นเดิม แม้ว่าจะได้รับในปริมาณยาที่มากกว่าก็ตาม

เบื้องต้น ทีมผู้วิจัยได้ระบุในรายงานชิ้นนี้ว่า จากข้อมูลที่ได้รับการตอบสนองด้านภูมิคุ้มกันจะสามารถถูกสร้างขึ้นได้ โดยไม่ต้องคำนึงถึงสูตรการฉีดวัคซีนเบื้องต้น นอกจากนี้ กลยุทธ์การใช้วัคซีนไขว้ยังอาจทำให้สามารถขยายขอบเขตด้านประสิทธิภาพ และระยะเวลาในการป้องกัน รวมถึงการกลายพันธุ์ของไวรัสในวัคซีนต้านโควิด-19 เท่าที่กำลังมีการใช้กันอยู่ในปัจจุบันอีกด้วย

การอนุมัติสูตรวัคซีนไขว้ของ FDA เพื่อเป็นเข็มกระตุ้นให้กับผู้ที่ได้รับวัคซีนโมเดอร์นาและวัคซีนจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน มีขึ้นหลังศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ หรือ CDC เพิ่งอนุมัติให้มีการฉีดวัคซีนไฟเซอร์เป็นเข็มกระตุ้น (เข็มที่ 3) ให้กับกลุ่มอายุ 18-64 ปี ผู้สูงอายุ กลุ่มเปราะบาง และกลุ่มเสี่ยง ที่ได้รับวัคซีนไฟเซอร์ครบสูตร (2 เข็ม) หลังผ่านไป 6 เดือน เมื่อไม่นานมานี้

ใครบ้างที่ได้รับอนุญาตให้สามารถฉีดวัคซีนสูตรไขว้โมเดอร์นา และ J&J?

1. กรณีเลือกใช้วัคซีนโมเดอร์นาเป็นเข็มกระตุ้น

อายุ 65 ปีขึ้นไป
อายุ 18-64 ปีขึ้นไป ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อโควิด-19
อายุ 18-64 ปีขึ้นไป ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อโควิด-19 จากการประกอบวิชาชีพ โดยทั้งหมดนี้ต้องผ่านการฉีดวัคซีนโมเดอร์นา (2 เข็ม) และ J&J (1 เข็ม) ครบสูตร หลังผ่านไป 6 เดือน

2. กรณีเลือกใช้วัคซีน J&J เป็นเข็มกระตุ้น

กลุ่มที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ที่ได้รับวัคซีน J&J ครบสูตร (1 เข็ม) หรือเพิ่งได้รับวัคซีนโมเดอร์นาเข็มแรก หลังผ่านไป 2 เดือน

อะไรคือสาเหตุที่ทำให้สหรัฐฯ ต้องเพิ่มการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นด้วยสูตรวัคซีนไขว้?

1. ข้อมูลเรื่องผลข้างเคียงหลังได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นล่าสุด

ก่อนหน้าการอนุมัติให้ใช้วัคซีนสูตรไขว้ของ FDA ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ เพิ่งเปิดเผยรายงานข้อมูลเรื่องผลข้างเคียงที่พบบ่อย หลังมีการทดลองฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น (เข็ม 3) ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนไฟเซอร์ โมเดอร์นา และ J&J (เข็ม 2)

...

โดยพบว่า เมื่อฉีดวัคซีน mRNA เข็มที่ 3 ผลข้างเคียงที่พบบ่อย คือ อาการเจ็บปวดบริเวณที่ฉีด อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะและมีไข้ ตามมาด้วยอาการหนาวสั่นและคลื่นไส้

ส่วนผลข้างเคียงที่พบบ่อยสำหรับการวัคซีนเข็มกระตุ้นของ J&J คือ มีไข้ อ่อนเพลีย และปวดศีรษะ และไม่พบข้อมูลบ่งชี้ เรื่องความเสี่ยงจากภาวะลิ่มเลือดอุดตันที่พบได้ยากอีกด้วย

และอาการผลข้างเคียงทั้งหมดนี้ แทบไม่มีอะไรแตกต่างจากที่เคยพบ สำหรับการฉีดวัคซีนครบสูตรของทั้งไฟเซอร์ โมเดอร์นา และ J&J ก่อนหน้านี้แต่อย่างใด

2. ข้อมูลเรื่องความเสี่ยง อาการเจ็บป่วยและเสียชีวิต?

CDC เพิ่งเปิดเผยรายงานล่าสุดถึงความเสี่ยงจากการเสียชีวิตด้วยโรคโควิด-19 สำหรับในกลุ่มผู้ใหญ่ (Adult) ที่ฉีดวัคซีนครบสูตรและยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนในสหรัฐฯ จากข้อมูลรายงานการติดเชื้อและเสียชีวิตล่าสุด ณ สิ้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา พบว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อโควิด-19 มากกว่ากลุ่มที่ได้รับวัคซีนครบสูตร 6 เท่า ขณะที่ ความเสี่ยงต่อการต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลอยู่ที่เกือบ 19 เท่า!

...

แต่ที่น่าเป็นห่วง คือ อัตราผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ของผู้ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนในสหรัฐฯ ที่ก่อนหน้านี้กำลังค่อยๆ ลดลงอย่างต่อเนื่องหลังจำนวนผู้ติดเชื้อค่อยๆ ลดลง แต่ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนสิงหาคม อัตราส่วนการเสียชีวิตต่อประชากรได้พุ่งขึ้นมาอยู่ที่ 9 คนต่อจำนวนประชากร 100,000 คน ทั้งๆ ที่ตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นมา อัตราส่วนที่ว่าอยู่ที่ประมาณ 1.2 คนต่อจำนวนประชากร 100,000 คน มาหลายเดือนติดต่อกัน

โดยสาเหตุหลักที่ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตเริ่มเพิ่มมากขึ้นในสหรัฐฯ เป็นเพราะอัตราการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนเริ่มลดต่ำลง และมีประชาชนจำนวนมากที่ยังปฏิเสธการฉีดวัคซีนทุกชนิด รวมถึงในหลายๆ รัฐเริ่มผ่อนคลายมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมมากขึ้นเรื่อยๆ

3. ลดความเหนื่อยล้าของบุคลากรด้านสาธารณสุข

ตัวเลขการติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในสหรัฐฯ ทำให้บุคลากรด้านสาธารณสุข โดยเฉพาะในรัฐที่มีอัตราการฉีดวัคซีนต่ำ พบกับแรงกดดันและความเหนื่อยล้ามาเป็นระยะเวลายาวนาน จนกระทั่งในบางรัฐมีอัตราการลาออกของบุคลากรด้านสาธารณสุข จนกระทั่งมีบุคลากรไม่เพียงพอต่อการรับมือผู้ป่วย

...

และหากย่างเข้าสู่ฤดูหนาว ความเป็นไปได้สูงที่อัตราการติดเชื้ออาจเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าที่เป็นอยู่ ด้วยเหตุนี้ การฉีดวัคซีนที่จะช่วยลดอัตราการติดเชื้อ และการต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลจะช่วยแบ่งเบาความเหน็ดเหนื่อยให้กับนักรบแนวหน้าได้เป็นอย่างดี

ข้อถกเถียงในประเด็นการวัคซีนเข็มกระตุ้นที่ยังคงอยู่?

1. ผลข้างเคียง

แม้ว่า... FDA จะระบุถึงการตัดสินใจในครั้งนี้ว่า มีรายงานยืนยันเรื่องการพบอาการผลข้างเคียงที่ไม่ร้ายแรง แต่ก่อนหน้าการตัดสินใจดังกล่าวเพียงไม่นาน FDA เพิ่งออกมาระบุว่า พบความเสี่ยงจากโรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (Myocarditis) และ อาการโรคเยื่อหุ้มหัวใจ (Pericarditis) หลังการฉีดวัคซีนโมเดอร์นาครบสูตร (2 เข็ม) เพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้ชายอายุต่ำกว่า 40 ปี โดยเฉพาะช่วงวัย 18-24 ปี

2. ประสิทธิภาพวัคซีน J&J

ประสิทธิภาพวัคซีน J&J ครบสูตร (1 เข็ม) ในโลกจริง ถูกพบว่า สามารถต้านทานการติดเชื้อในสหรัฐฯ ได้ประมาณ 72% ซึ่งแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดกับวัคซีน mRNA ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 90% ในกรณีฉีดครบสูตร (2 เข็ม)

อย่างไรก็ดี จากผลการทดสอบที่แม้จะมีข้อมูลที่ค่อนข้างจำกัด พบว่า เมื่อมีการฉีดวัคซีน J&J เข็มที่ 2 ภายในระยะเวลาไม่เกิน 2 เดือน พบว่า ประสิทธิภาพในการต้านทานการติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 90% ขึ้นไป

3. การแย่งชิงวัคซีน

การแพร่ระบาดของสายพันธ์ุเดลตาที่ทำให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นในสหรัฐฯ จนน่าหวาดวิตกในปัจจุบัน อีกทั้งข้อมูลที่แน่ชัดแล้วว่า ภูมิคุ้มกันจากการฉีดวัคซีนครบสูตรในกลุ่มคนบางกลุ่มจะลดลงเมื่อผ่านไปช่วงเวลาหนึ่ง ทำให้สหรัฐอเมริกาและหลายชาติเริ่มมองหาวิธีการเพื่อปกป้องพลเมืองของตัวเอง โดยเฉพาะการลดความเสี่ยงจากความรุนแรงในการต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลและการเสียชีวิต และการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นก็คือหนึ่งในทางเลือกนั้น

อย่างไรก็ดี ประเด็นนี้นำมาซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก โดยเฉพาะองค์การอนามัยโลกที่ออกมาพูดหลายต่อหลายครั้งแล้วว่าจะเป็นการลดโอกาสที่ผู้คนในกลุ่มประเทศยากจนและกำลังพัฒนา ที่แม้จนถึง ณ วันนี้ ยังไม่ได้รับวัคซีนต้านโควิด-19 แม้แต่เข็มเดียว!

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
กราฟิก: sathit chuephanngam

ข่าวน่าสนใจ: