อย่าเชิญ ‘มิน อ่อง หล่าย’ มาไทย ร้องรัฐบาล เจ้าภาพ BIMSTEC ยุติการช่วยเหลือ-เงิน แก่กองทัพพม่า

1 เมษายน 2568 ตัวแทนภาคประชาสังคมไทย-เมียนมา เดินทางมายื่นหนังสือที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล เรียกร้องให้รัฐบาลไทยและผู้นำกลุ่มประเทศ BIMSTEC ยกเลิกการเชิญ ‘มิน อ่อง หล่าย’ และตัวแทนอื่นใดจากกองทัพเมียนมาเข้าร่วมประชุม ในวันที่ 3-4 เมษายน ที่ไทยเป็นเจ้าภาพการประชุม
นอกจากนี้ เครือข่ายยังได้เดินทางไปยื่นหนังสือที่สถานทูต 5 แห่ง ได้แก่ สถานทูตศรีลังกา สถานทูตเนปาล สถานทูตอินเดีย สถานทูตบังกลาเทศ สถานทูตภูฏาน ด้วยจุดประสงค์เดียวกัน
วิชัย จันทวาโร เจ้าหน้าที่เสมสิกขาลัย ในฐานะตัวแทน 319 องค์กร ภาคประชาชนในเมียนมา ในไทย ในภูมิภาคและระดับสากล กล่าวถึงจุดประสงค์ที่การเดินทางมายื่นหนังสือไว้ว่า
“เราขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยปฏิเสธการเชิญ ‘มิน อ่อง หล่าย’ เข้าร่วมประชุม BIMSTEC ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ ซึ่งจะจัดขึ้นวันที่ 3-4 เมษายน 2568 ที่จะถึงนี้
“เรามองว่า การเชิญมิน อ่อง หล่ายมา จะเป็นการเพิ่มความชอบธรรมให้กับผู้นำกองทัพเมียนมา ในการใช้กำลังความรุนแรงปราบปรามประชาชน ซึ่งขณะนี้ก็กำลังดำเนินอยู่ต่อเนื่อง แม้กระทั่งว่า หลังเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว ก็ยังมีการโจมตีทางอากาศอยู่อย่างต่อเนื่อง
“เรากังวลว่า ในการประชุม BIMSTEC ที่จะมีการพูดคุยเรื่องความร่วมมือทางเศรษฐกิจ จะช่วยให้คณะรัฐประหารเมียนมาเข้าถึงแหล่งทุน เข้าถึงทรัพยากรที่มากขึ้นในการซื้ออาวุธ เพื่อนำไปประหัตประหารประชาชนอีก เพราะฉะนั้น เราขอให้รัฐบาลไทยยกเลิกการเชิญมิน อ่อง หล่ายเข้าร่วมประชุม รวมถึงผู้แทนอื่นๆ จากกองทัพเมียนมา ที่จะมาประชุม BIMSTEC ที่จะเกิดขึ้น
“หนังสือฉบับนี้ ผ่านการรับรองโดยองค์กรภาคประชาชนในเมียนมา ในไทย ในภูมิภาคและระดับสากล ทั้งหมด 319 องค์กร โดยที่มีรายชื่อแนบมา 285 องค์กร ส่วนอีก 34 องค์กรไม่สะดวกเปิดเผยรายชื่อ”
วิชัย จันทวาโร เจ้าหน้าที่เสมสิกขาลัย ตัวแทน 319 องค์กร ยื่นหนังสือถึงรัฐบาล
ด้าน ไมล์ (นามสมมุติ) ภาคประชาสังคมชาวเมียนมา ให้สัมภาษณ์ว่า
“ภาคประชาสังคมเมียนมา เรียกร้องให้รัฐบาลไทยยกเลิกการเชิญ มิน อ่อง หล่าย เข้ามาประชุม BIMSTEC เหตุผลคือ มิน อ่อง หล่าย ไม่ได้เป็นรัฐบาลโดยชอบธรรมของประชาชนชาวเมียนมา แต่เป็นรัฐบาลที่มายึดอำนาจแบบผิดกฎหมาย อีกทั้งในขณะนี้ ยังเข่นฆ่าประชาชนในเมียนมาอยู่ แม้กระทั่งเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว
“ในมุมมองของคนเมียนมามองว่า มิน อ่อง หล่ายและทหารเมียนมา เป็นกลุ่มผู้ก่อการร้าย ไม่ได้เป็นแม้กระทั่งทหารด้วยซ้ำเพราะฆ่าประชาชนของตัวเอง การที่รัฐบาลไทยเชิญมิน อ่อง หล่ายมาประชุม ถือเป็นการให้ความชอบธรรมแก่ทหารที่กำลังเข่นฆ่าประชาชน
“แม้ว่าในขณะนี้ เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงครั้งประวัติศาสตร์ในเมียนมา ประชาชนบาดเจ็บล้มตาย บ้านเรือนเสียหายเป็นจำนวนมาก คนทั้งโลกกังวลและเป็นห่วงเป็นใยต่อสถานการณ์ที่มิน อ่อง หล่ายส่งเครื่องบินมาทิ้งระเบิด ซึ่งมีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่า เครื่องบินมาทิ้งระเบิดที่รัฐฉาน หลังการเกิดแผ่นดินไหว เขาใช้ระเบิดและกำลังทางทหารมาเข่นฆ่าประชาชน ไม่ได้ใช้ทหารเพื่อช่วยเหลือทางมนุษยธรรมเลย
“มิน อ่อง หล่ายเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คนพม่าต้องทุกข์ยาก ไม่ใช่แค่คนพม่าเท่านั้น แต่ผลกระทบมาถึงคนไทยด้วย จากการที่คนเมียนมาต้องอพยพหนีภัยสงครามเข้ามาเพื่อแสวงหาพื้นที่ปลอดภัยในประเทศไทยมากขึ้น
“รัฐบาลไทยมีอำนาจมากที่สุดในกรณีนี้ เนื่องจากเป็นประเทศเพื่อนบ้าน เราจึงขอให้รัฐบาลไทยยกเลิกการเชิญ มิน อ่อง หล่าย เพื่อหยุดการให้ความชอบธรรม รวมถึงหยุดการให้ความสนับสนุนทางทุนและเศรษฐกิจแก่ทหารเมียนมาในทุกกรณี เพื่อช่วยให้ทหารหยุดการเข่นฆ่าคนเมียนมา
“รัฐบาลไทยเท่านั้น ที่จะช่วยหยุดสิ่งที่เกิดขึ้นใน 2-3 วันข้างหน้านี้ได้ เพราะรัฐบาลไทยมีอำนาจตัดสินใจเรื่องนี้ และในฐานะที่เป็นประเทศเพื่อนบ้านมาอย่างยาวนาน
แผ่นดินไหวซัด สงครามซ้อน
เพจ Blood Money Campaign กลุ่มรณรงค์หยุดเงินเปื้อนเลือดในเมียนมา เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2568 ประชาชนเมียนมาต้องเผชิญทั้งภัยธรรมชาติและการโจมตีทางอากาศอันโหดร้ายที่ดำเนินการโดยคณะเผด็จการทหาร ทั้งๆ ที่เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวรุนแรง 7.7 ริกเตอร์ และอาฟเตอร์ช็อก 6.7 ริกเตอร์ ถล่มพื้นที่ภาคกลางของประเทศเมียนมา โดยมีจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ใกล้กับเมืองสะกายและมัณฑะเลย์ และยังตามมาด้วยอาฟเตอร์ช็อกอีก 13 ครั้งทั่วประเทศ
แม้ว่าสำนักงานใหญ่ของกองทัพทหารเมียนมาจะพังทลายเช่นกัน ทำให้ผู้นำคณะทหาร รวมทั้ง ‘มิน อ่อง หล่าย’ ต่างก็ดิ้นรนหนีตายเพื่อความปลอดภัย ทว่ากองทัพก็ยังคงออกปฏิบัติการโจมตีทางอากาศอย่างไม่ลดละ โดยกำหนดเป้าหมายคือเหล่าพลเรือนที่กำลังได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวอยู่แล้ว ดังนี้
- 12.50 แผ่นดินไหวขนาด 7.7 ริกเตอร์
- 13.02 เกิดอาฟเตอร์ช็อกขนาด 6.7 ริกเตอร์ (ตามมาด้วยอาฟเตอร์ช็อกอีก 13 ครั้ง)
- 13.10 กองทัพพม่า ‘โจมตีทางอากาศ’ ที่หมู่บ้าน Kan Gyi อำเภอ Naung Cho
- 14.50 กองทัพพม่า ‘โจมตีทางอากาศ’ ที่หมู่บ้าน Naung Lin อำเภอ Naung Cho
นอกจากนี้ กองทัพพม่า ได้โจมตีทางอากาศอย่างน้อย 6 ครั้ง ในภาคเหนือของรัฐฉาน สะกาย กะเหรี่ยง พะโค และยะไข่ ในวันเดียวกับที่เกิดแผ่นดินไหว 28 มี.ค. 2568
ด้านกลุ่ม Defend Myanmar Democracy ยังเปิดอีกว่า ในวันแผ่นดินไหว มิน อ่อง หล่าย และคณะ ได้กระทำการทารุณ แสวงหาผลประโยชน์ต่อประชาชน เช่น
- ทิ้งระเบิดทั้งช่วงก่อน ระหว่าง และหลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวอย่างไม่ลดละ
- โรงพยาบาลกว่า 20 แห่งถูกปิด โดยกองทัพได้ตามไล่ล่าและก่อกวนคณะแพทย์ ทำให้โรงพยาบาลปราศจากหมอ ส่งผลให้ผู้บาดเจ็บถูกทิ้งไว้บนถนนภายใต้แสงแดดที่ร้อนแรง
- ปิดกั้นการสื่อสารและอินเทอร์เน็ต เพื่อไม่ให้คนทั่วโลกได้เห็นความจริง และส่งผลให้ผู้รอดชีวิตขอความช่วยเหลือได้ลำบาก
- กัดกันนักข่าวออกนอกประเทศ เพื่อไม่ให้มีการสื่อสารสถานการณ์ที่แท้จริง
- มิน อ่อง หล่าย ขอความช่วยเหลือระหว่างประเทศราวกับเป็นรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎหมาย ทว่าความช่วยเหลือเหล่านั้นกลับไม่ถึงมือประชาชน และสงสัยว่าคณะรัฐประหารเป็นคนนำสิ่งของไปขายในตลาดมืดเพื่อหากำไรเข้ากระเป๋าตัวเอง ดังเช่นที่เคยทำมาก่อน
- กองทุนบรรเทาทุกข์จากยุครัฐบาล NLD หายไป โดยคณะรัฐประหารอ้างว่า พวกเขานำไปพัฒนาประเทศ ซึ่งสวนทางกับสภาพความเป็นจริง
- คณะรัฐประหารปฏิเสธความช่วยเหลือ จากกรณีที่ไต้หวันส่งทีมกู้ภัยมาช่วยผู้ประสบภัย และทำการปิดถนนเพื่อกีดกันความช่วยเหลือ
ร้องนายกฯ อย่าเชิญ 'มิน อ่อง หล่าย' มาไทย
ด้านเนื้อหาในหนังสือถึงรัฐบาลไทย ระบุว่า
ก่อนจะถึงการประชุมสุดยอด BIMSTEC ในระหว่างวันที่ 3 - 4 เมษายน ที่กรุงเทพฯ พวกเราซึ่งเป็นหน่วยงานจำนวน 319 องค์กร และลงชื่อในจดหมายนี้ เขียนจดหมายเปิดผนึกเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลไทยและผู้นำ BIMSTEC แสดงจุดยืนคัดค้านผู้นำทหารที่ผิดกฎหมาย และการก่ออาชญากรรมระดับสากลของพวกเขา โดยการ
- ห้ามไม่ให้มิน อ่อง หล่าย ผู้นำกองทัพเมียนมาเข้าร่วมการประชุมสุดยอด BIMSTEC
- ห้ามไม่ให้ตัวแทนทุกคนของกองทัพเมียนมาและผู้ที่ได้รับแต่งตั้ง เข้าร่วมการประชุมและร่วมกิจกรรมใดๆ ของ BIMSTEC
ให้รัฐบาลไทยและผู้นำกลุ่มประเทศ BIMSTEC ยกเลิกการเชิญ ‘มิน อ่อง หล่าย’
นับแต่มีความพยายามทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 กองทัพเมียนมาได้ทำการสังหารหมู่ โจมตีทางอากาศอย่างไม่เลือกเป้าหมาย ระดมยิงปืนใหญ่ ก่อเหตุความรุนแรงทางเพศและความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศ สังหารหมู่และวางเพลิงสถานที่จำนวนมาก ทั้งยังได้จับกุมบุคคลโดยพลการกว่า 28,900 คน ในแต่ละปี กองทัพเมียนมายังได้เพิ่มการโจมตีทางอากาศบ่อยครั้งมากขึ้น ทำให้จำนวนพลเรือนที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บเพิ่มขึ้นเช่นกัน กองทัพเมียนมาได้ทำการโจมตีทางอากาศ 4,631 ครั้ง รวมทั้งในพื้นที่ค่ายผู้ลี้ภัยในประเทศ สถานพยาบาล โรงเรียน และศาสนสถาน การก่ออาชญากรรมอย่างร้ายแรงนี้เป็นการละเมิดต่อกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ในการนี้รวมถึงการใช้ระเบิดเพลิงซึ่งห้ามใช้ในพื้นที่พลเรือน จากการโจมตีทางอากาศเพียงอย่างเดียวทำให้พลเรือนเสียชีวิตมากกว่า 2,603 คน และบาดเจ็บ 4,184 คน
ภาพจากเพจ Myanmar Now
สืบเนื่องจากการก่ออาชญากรรมเหล่านี้ ทำให้ปัจจุบันจึงมีผู้พลัดถิ่นฐานในประเทศแล้วกว่า 3 ล้านคน กองทัพเมียนมากระทำการเข้ากับหลักเกณฑ์ที่จัดว่าเป็น องค์กรก่อการร้าย ทั้งตามกฎหมายในประเทศของเมียนมา และตามที่นิยามในกฎหมายระหว่างประเทศ
ความทารุณของกองทัพเมียนมารุนแรงถึงขั้นเป็นอาชญากรรมสงคราม และอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ โดยได้ต้องตกเป็นจำเลยในคดีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และอาชญากรรมระหว่างประเทศอื่นๆ ที่กระทำต่อชาวโรฮิงญา และอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ศาลอาญาระหว่างประเทศ และการพิจารณาตามหลักเขตอำนาจศาลสากลที่ศาลอาร์เจนตินา โดยเมื่อเร็วๆ นี้ศาลอาญากลางของอาร์เจนตินาใช้หลักเขตอำนาจศาลสากล ออกหมายจับพลเมืองชาวเมียนมา 25 คน เนื่องจากมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และอาชญากรรมต่อมนุษยชาติที่เกิดขึ้นกับชาวโรฮิงญา รวมทั้งมิน อ่อง หล่ายซึ่งเป็นผู้นำกองทัพเมียนมา และผู้นำทหารระดับสูงคนอื่นๆ
ไม่ว่าจะพิจารณาจากนิยามใด กองทัพเมียนมาไม่ถือว่าเป็นรัฐบาล และจึงไม่มีความชอบธรรมที่จะเป็นตัวแทนของประชาชนชาวเมียนมาเพื่อเข้าร่วมในกิจกรรมหรือการประชุมใดๆ ของ BIMSTEC ไม่ว่าจะเป็นการประชุมในระดับใด หรือไม่ว่าจะเป็นตัวแทนใดจากกองทัพ
หากรัฐบาลต่างประเทศและองค์กรระหว่างประเทศร่วมมือทำงานกับกองทัพเมียนมา เสมือนกับว่าพวกเขาเป็นรัฐบาล และ/หรือ ส่งเสริมให้ผู้ที่แต่งตั้งและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกองทัพ เข้าเป็นเครือข่ายกับประชาคมระหว่างประเทศ ย่อมก่อให้เกิดอันตรายอย่างร้ายแรงต่อประชาชนชาวเมียนมา รวมทั้ง
- ทำให้กองทัพเมียนมาเกิดความฮึกเหิม และจะยิ่งเพิ่มการก่อความรุนแรงต่อพลเรือน
- ทำให้พวกเขามีอำนาจตัดสินใจแทนประชาชนชาวเมียนมาได้อย่างชอบธรรม
- สร้างความชอบธรรมให้กับกองทัพเมียนมาและมีส่วนช่วยเหลือในการกระทำที่ผิด
- กฎหมายของพวกเขา ทำให้มีภาพเสมือนเป็นรัฐบาล
- ช่วยเหลือกองทัพเมียนมาในการสร้างความสัมพันธ์ และเข้าถึงแหล่งทุนและทรัพยากร
- ช่วยเหลือกองทัพเมียนมาในการทำสงครามกับประชาชนในประเทศของตนเอง
หน่วยงานใดซึ่งสร้างความชอบธรรม หรือสนับสนุนการให้เงินทุนและทรัพยากรกับกองทัพเมียนมา ย่อมเสี่ยงจะมีส่วนร่วมในการก่ออาชญากรรมที่ทารุณอย่างต่อเนื่องของกองทัพเมียนมา จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่เราจะต้องหลีกเลี่ยงการมีความสัมพันธ์ทั้งทางการทูตและการเงินใดๆ กับกองทัพเมียนมา และบุคคลอื่นๆ ผ่านการประชุมและการสร้างเครือข่ายระหว่างประเทศ
องค์กรระหว่างรัฐบาลอื่น ๆ รวมทั้งอาเซียนและองค์การสหประชาชาติ ได้ใช้มาตรการเพื่อตอบโต้กองทัพเมียนมาแล้ว ยกตัวอย่างเช่น อาเซียนได้ลงมติไม่อนุญาตให้เมียนมา เป็นประธานอาเซียนตามวาระในปี 2569 และยังได้กีดกันไม่ให้กองทัพเมียนมาเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศและการประชุมสุดยอดอื่น ๆ ในการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน (ADMM) ก็มีการกีดกันไม่ให้ผู้แทนของกองทัพเมียนมาเข้าร่วมการประชุมสุดยอดของตน ประเทศฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ได้พากันคว่ำบาตรไม่เข้าร่วมการประชุมผู้บัญชาการทหารอากาศของกลุ่ม ADMM ซึ่งมีกองทัพเมียนมาเป็นเจ้าภาพ ประเทศสิงคโปร์ได้คว่ำบาตรไม่เข้า