สาดน้ำกรด คือ การฆ่าทั้งเป็นโดยผ่านการไตร่ตรอง อาจารย์อ๊อด ชี้ส่วนมากมักใช้ สารเคมี 3 ชนิด พร้อมคำแนะนำการปฐมพยาบาลที่ถูกต้อง.... มันยิ่งกว่าการฆ่าเสียอีก สำหรับ คดีทำร้ายร่างกายด้วยการ “สาดน้ำกรด” โดยในช่วง 3-4 วันนี้ เราได้เห็นคดีลักษณะนี้ถึง 2 เคส ซึ่งแต่ละเคสนั้นล้วนน่าสงสาร เพราะต้องทนทรมานจากแผลร้ายแรงดั่งถูกไฟไหม้ และเธอทุกคนที่เป็นเหยื่อ ไม่มีทางหายจากการบาดเจ็บ ต้องเป็นแผลเป็นตลอดชีวิต จากกรณี สาว 18 ที่ “กัน จอมพลัง” ให้การช่วยเหลือ ถูกแฟนหนุ่มพิการวัย 32 ปี สาดน้ำกรด ในพื้นที่ สภ.วิเชียรบุรี จ.เพชรบูรณ์ ถึงกรณีล่าสุด สาวร้านขายยา วัย 26 ปี ที่ถูกแฟนเก่าทำร้าย คำถามคือ “กรด” เหล่านี้ มันหาซื้อง่ายขนาดนั้นเลยหรือ...? เมื่อถูกทำร้ายแล้ว ผลจะเป็นอย่างไร มีโอกาสหายหรือไม่ เรื่องนี้เราได้พูดคุยกับ “อาจารย์อ๊อด” รศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ อาจารย์เคมีและนิติวิทยาศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ กรดที่ใช้ทำร้ายกันนั้น มีหลายแบบ ส่วนมากจะเป็น กรดอนินทรีย์ (Inorganic Acids) ที่หาซื้อกันได้ง่ายๆ ก็คือ กรดดินประสิว (Nitric Acid), กรดกำมะถัน (Sulfuric Acid) และอย่างที่สาม คือ กรดเกลือ (Hydrochloric Acid) ทั้ง 3 ชนิดนั้นมีฤทธิ์ “กัดกร่อนรุนแรง”กรดดินประสิว (Nitric Acid) : ส่วนมากจะอยู่ในอุตสาหกรรมการเกษตร เช่น ทำปุ๋ย เอามาเจือจางเพื่อมาปลูกผักแบบ ไฮโดรโปนิกส์ หรือถ้าในอุตสาหกรรม เช่น เอามาหลอมทอง สังกะสี ทองแดง โดยเกี่ยวข้องกับงาน โลหะ “หากใช้กรดไนตริก หรือดินประสิว 98% ซึ่งเป็นความเข้มข้นสูง หากเอาทองคำหนัก 5 บาท จุ่มลงไป คือละลายกลายเป็นน้ำเลย...ฉะนั้น หากเป็นเนื้อหนังมังสา จะเหลืออะไร..”กรดกำมะถัน (Sulfuric Acid) : ใช้ในอุตสาหกรรมอิเล็กโทรไลต์ เช่น การเติมแบตเตอรี่ ซึ่งตัวนี้มีฤทธิ์กัดกร่อนเช่นเดียวกับ กรดดินประสิว แต่อ่อนกว่า ไนตริกกรดเกลือ (Hydrochloric Acid) : ใช้ในการขจัดคราบหินปูน เช่น ล้างห้องน้ำ ซึ่งก็มีฤทธิ์กัดกร่อน เช่นเดียวกัน “กรดที่ใช้ทำร้ายกัน ส่วนมากใช้ ไนตริก หรือ กรดดินประสิว นี่แหละ เพราะมีฤทธิ์กัดกร่อนรุนแรง ซึ่งทั้ง 3 ชนิด หาซื้อได้ง่าย ตามร้านเคมีภัณฑ์ หรือสามารถสั่งซื้อออนไลน์ก็ได้ เพราะเหล่านี้เคมีที่ใช้งานทั่วไป ราคาไม่แพงมาก กิโลกรัมละร้อยบาท ใช้เพียงเล็กน้อยก็ทำร้ายคนอื่นได้แล้ว ฉะนั้น คนที่จะซื้อส่วนมากจะเป็นคนที่มีความรู้”หากโดนสาดกรด เข้าหน้า หรือ ผิวหนังอาจารย์อ๊อด อธิบายว่า หากผิวหนังสัมผัสกับกรด หรือใครนำมาสาดนั้นร่างกายจะเกิดปฏิกิริยา Dehydrated (ดีไฮเดรต) หรือ Dehydration คือ การถูกดึงน้ำออกจากร่างกายอย่างรวดเร็ว โดนกรดปุ๊บ น้ำตรงนั้นจะถูกดึงออกอย่างรวดเร็ว ทำให้เหมือนโดนไฟไหม้ เป็นการสูญเสียน้ำออกจากร่างกายอย่างรวดเร็ว “น้ำกรด จึงกลายเป็นอาวุธของมิจฉาชีพ ฆาตกร หรือคนร้ายนำมาใช้ เพราะหาซื้อได้ง่าย เมื่อมีการสาดโดนใบหน้า ร่างกาย หากโดนหู หูแหว่งเลย หากโดนตา บอดทันที โดนลิ้น กลายเป็นคนพูดไม่ได้ หากแช่นานๆ แผลถึงกะโหลก เรียกว่าโดนตรงไหนไปหมด ฉะนั้น การรักษา ก็จะต้องรักษาด้วยวิธีการเดียวกับแผลไฟไหม้” การช่วยเหลือ คนโดนน้ำกรด หากใครเจอเหตุการณ์นี้ จะเข้าไปช่วยเหลือ ผู้เชี่ยวชาญด้านเคมี เตือนว่า ต้องใส่ถุงมือ หรือหากไม่มี ก็ให้ใช้ถุงก๊อบแก๊บ หลายๆ ใบ คุมมือไว้ และสิ่งที่ต้องทำอันดับแรก คือ ให้เอาเสื้อผ้าที่โดนกรดออกให้หมด หาคัตเตอร์ กรรไกร หรือมีด ตัดออกให้หมด จากนั้นเอากระดาษทิชชู่ หรือผ้าสะอาดซับออกให้เยอะที่สุดก่อน...จากนั้น ค่อยๆ ใช้น้ำสะอาดล้างเพื่อเจือจาง หรือใช้น้ำเกลือ โดยพยายามทำแบบเบาที่สุด เพราะเนื้อที่โดนกรด จะมีลักษณะยุ่ย และในระหว่างปฐมพยาบาล ก็ให้เรียกรถพยาบาลมารักษาเร็วที่สุด เพราะทีมที่เข้ามาช่วย เขาจะรู้วิธีการปฐมพยาบาล เขาจะใช้ขั้นตอนการช่วยเหลือเหมือนกับคนที่โดนไฟไหม้ ข้อห้าม!!! “สิ่งที่ห้ามทำ คือ การเอาน้ำสาดใส่ทันที เพราะกรดที่ถูกสาดนั้นยังมีปริมาณเข้มข้น เมื่อโดนน้ำสาด กรดก็จะไปผสมกับน้ำ แม้มันจะเจือจางลง แต่มันจะโดนส่วนอื่นของร่างกาย ถึงแม้ความเข้มข้นของกรดจะเหลือน้อยลง ประมาณ 30% มันก็ยังกัดเนื้อได้อยู่” ผู้เชี่ยวชาญด้านเคมี ย้ำ อาจารย์อ๊อด กล่าวว่า คนที่โดนกรดนั้น หมอ เขาจะให้การช่วยเหลือตามอาการ หากโดนมากๆ เข้าขั้นโคม่า ก็ถึงขั้นเสียชีวิตได้ ที่สำคัญคือ เมื่อโดนกรดไปแล้ว โอกาสหายแทบไม่มีเลย แม้จะมีเทคโนโลยีการแพทย์จะเจริญก้าวหน้าขนาดไหนก็ตาม “เนื้อที่ถูกทำลายไปแล้ว ไม่มีวันกลับคืนมาได้ เพราะโปรตีนในร่างกายของเรามันจะเปลี่ยนสภาพ “ไข่ดิบ” โดนน้ำร้อนกลายเป็น “ไข่สุก” ขณะที่ “ไข่สุก” ไม่สามารถเปลี่ยนสภาพกลับมาเป็น “ไข่ดิบ” ได้ หากตาถูกทำลายจนบอดแล้ว บอดเลย ผิวหนังถูกทำลายจนย่น ก็ไม่กลับมาตึงอีก ยกเว้น มีการตัดออก แล้วปลูกเนื้อเยื่อใหม่ แต่มันเป็นเรื่องที่อันตรายมาก และมีโอกาสติดเชื้อด้วย” เตือนสติ อย่าคิดทำกับใคร และกฎหมายก็ไม่ปราณี อาจารย์อ๊อด เตือนว่า การกระทำดังกล่าว มันเป็นเรื่องร้ายแรงมาก อยากให้คนที่ “คิด” จะทำ ดึงสติ มโนสำนึก คุณธรรม จริยธรรม เพราะการเอากรดไปสาดใส่ใครนั้น มันร้ายแรงยิ่งกว่าเอาปืนหรือมีดไปทำร้ายเขาเสียอีก เพราะการทำแบบนี้กับใครก็แล้วแต่ มันจะเหมือนการ ทำให้ตายทั้งเป็น บาปหนามาก เพราะคนโดนจะทุรนทุราย“ที่ผ่านมา คดีลักษณะนี้ ศาลจะลงโทษอย่างหนักที่สุด ตามที่กฎหมายจะมี เพราะเขาจะมองเจตนาว่า ไตร่ตรอง ทำให้คนอื่นบาดเจ็บอย่างทรมาน ถ้าถึงขั้นเสียชีวิต ก็จะเข้าข่ายฆ่าโดยไตร่ตรอง ถ้าไม่เสียชีวิตก็พยายามฆ่าโดยไตร่ตรอง และโดยมากศาลจะไม่ปราณีด้วย”การทำร้ายกันง่ายขึ้น เพราะโลกเปิด ใช้ความรู้ในทางที่ผิดอาจารย์อ๊อดให้ความเห็นในคดีลักษณะนี้ว่า เดี๋ยวนี้คนทำร้ายกันง่ายๆ แม้กระทั่งสารพิษอย่าง ไซยาไนด์ ก็ยังมีขาย หาซื้อกันง่ายๆ คำถามคือ ประเทศที่เจริญแล้ว หลายๆ ประเทศเขาก็สามารถเข้าถึงสารเคมีเหล่านี้ได้ง่ายเช่นกัน ทำไมเขามีปัญหาอาชญากรรมลักษณะนี้ไม่มาก เชื่อว่า ส่วนหนึ่งมาจากสังคม “ไทยเข้าถึงทุกอย่างได้ง่ายเหมือน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น หรือ สหรัฐฯ ทำไมประเทศเหล่านี้เขาเจอปัญหาไม่เหมือนเรา ก็เพราะการควบคุมสังคม มันคือ ภาพใหญ่ ที่รัฐบาลต้องเข้ามามีส่วนร่วม จากเรื่องเล็กๆ ปัญหาด่าทอกันไปมา ก็กลายเป็นการเอาน้ำกรดสาดหน้ากัน...เราจะแก้ปัญหาที่ปลายเหตุด้วยการ “ห้ามขาย” สารเคมี มันทำได้ยาก เพราะสารเคมี เหล่านี้ก็จำเป็นต้องใช้ในงานอุตสาหกรรม มันเป็นสิ่งที่สามารถสร้างประโยชน์ได้ เพียงแต่คนร้าย หรือมิจฉาชีพ เอามาใช้ อะไรที่เป็นตัวอย่างไม่ดีในสังคม สื่อกระแสหลักก็ไม่ควรส่งเสริม เราต้องช่วยกันบาลานซ์สังคม”