ดักแด้หิน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคดึกดำบรรพ์ อายุกว่า 100 ล้านปี เชื่อกันว่าเป็นคตศักดิ์สิทธิ์เข้มขลังด้านมนตร์เสน่ห์ เมตตา คุ้มภัย มั่งมี ค้าขายร่ำรวย มีไว้ติดตัวแล้วดี จากความเชื่อที่ว่าดักแด้ที่กลายเป็นหิน แต่แท้จริงแล้วมันคืออะไร? เอาใจสายมู ที่ไม่ใช่มูแบบธรรมดาทั่วไป แต่เป็นการมูสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จากยุคดึกดำบรรพ์ อายุนับร้อยล้านปี ส่งตรงมาจากจังหวัดชัยภูมิ

แล้วคตคืออะไร คตเป็นสิ่งศักดิ์สิทธ์รูปแบบหนึ่ง เกิดขึ้นเองธรรมชาติอย่างอัศจรรย์ มีอิทธิฤทธิ์ในตัวเองโดยไม่ผ่านการปลุกเสก คล้ายพวกเหล็กไหลที่เป็นธาตุกายสิทธิ์ แต่นี่เป็นของธรรมชาติ และที่เหนือธรรมชาติตรงที่เป็นพืชหรือสัตว์ แปรธาตุกลายเป็นหิน เช่น คตขนุน คตหน่อไม้ คตคูณ คตด้วง แต่ที่จะพิสูจน์เป็นคตดักแด้ เชื่อว่าเป็นดักแด้ที่กลายเป็นหิน หรือคตดักแด้หิน

ส่วนมูลค่านั้นขึ้นอยู่กับศรัทธาความพึงพอใจ มีตั้งแต่หลักร้อย หลักพัน บางชิ้นที่สวยๆ ชิ้นใหญ่ มีความสมบูรณ์ ราคาเป็นหลักหมื่นก็มี อะไรอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้กับภารกิจ “See True” ในการลงพื้นที่ตำบลทุ่งลุยลาย อำเภอคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ เพื่อไปดู ไปขุด ไปหาดักแด้หิน และตรวจพิสูจน์ว่าแท้ที่จริงแล้วสิ่งนี้คืออะไร

...

ไปดู ไปหาดักแด้หิน ราคาตั้งแต่หลักร้อย ถึงหลักหมื่น

พื้นที่ตำบลทุ่งลุยลาย อำเภอคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ เป็นเมืองหลวงของดักแด้หินที่เยอะที่สุดก็ว่าได้ เริ่มต้นจากการลงพื้นที่วัดถ้ำวิมานนาคิน ซึ่งมีรูปปั้นดักแด้หินขนาดใหญ่ และมีตู้กระจก เต็มไปด้วยดักแด้หินจำนวนมากหลายขนาดจัดวางให้ชม โดยเจ้าอาวาสให้ข้อมูลว่า นี่คือดักแด้หินที่ชาวบ้านขุดพบในพื้นที่ป่าเขาบริเวณหมู่บ้าน นำมาไว้ที่วัด และทางวัดก็จะนำคตดักแด้หินมอบให้ญาติโยมที่มาทำบุญเป็นของที่ระลึก

“เพทาย ทองพูล” หรือน้าแป๊ะ เซียนดักแด้หินแห่งบ้านหนองหญ้าโก้ง ผู้เก็บสะสมและบูชาคตดักแด้หินจำนวนมากนานกว่า 10 ปี บอกว่า ใครมาทำบุญก็อยากได้ของดีติดไม้ติดมือไป ทางครูบาอาจารย์ก็เลยแจกเป็นของขวัญ ของดี ให้เอาไปใช้ในด้านเมตตา การงาน แคล้วคลาดปลอดภัย โดยที่ไม่ต้องปลุกเสก ไม่ต้องทำอะไร และราคามีตั้งแต่หลักร้อย หลักพัน จนถึงหลักหมื่น

จากนั้นน้าแป๊ะ เซียนดักแด้หิน ได้พาทีมงานเข้าป่าชุมชนหมู่บ้านหนองหญ้าโก้ง ลัดเลาะตามเนินเขาเล็กๆ ระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร เพื่อไปขุดหาดักแด้หิน เมื่อไปถึงก็พบจุดที่ชาวบ้านขุดพบดักแด้หิน มีร่องรอยเป็นหลุมกว้างขนาดต่างๆ กระจายอยู่ทั่วบริเวณ และมาอีกหนึ่งจุดเป็นบ่อดักแด้ ขุดลึกเป็นโพรงประมาณ 2 เมตร ภายในโพรงเป็นชั้นหิน

ก่อนเดินทางต่อเข้าไปในป่า อีกประมาณ 300 เมตร เป็นจุดคตดักแด้หินแหล่งใหม่ที่อยู่ใต้ชั้นดิน ใกล้กับลำธาร จึงลงมือขุดหาดักแด้หิน และก็เจอตัวแรกวางอยู่บนดิน แต่ลายขีดยังไม่ชัด จนมาเจอคตดักแด้หินตัวเล็กอีกตัวเป็นสีแดง คล้ายหินทั่วไป ต้องนำไปขัดล้าง

การขุดหาคตดักแด้หินยังดำเนินต่อไป จนมาพบพระเอกที่มีหัว มีเกลียวดำชัดเจน ค่อนข้างสมบูรณ์ ยิ่งล้างยิ่งชัดมาก และใช้เวลาอยู่หลายชั่วโมงในการหาคตดักแด้หิน ด้วยการกะเทาะออกมาจากชั้นดินทีละชิ้น จนสามารถเก็บรวบรวมคตดักแด้หินได้จำนวนหนึ่ง และนำมาล้างน้ำ ใช้เครื่องมือขัดผิวดินสีแดงออกทีละนิด จนเห็นชั้นผิวด้านในที่เป็นเนื้อหินสีดำ ปรากฏร่องเกลียวโดยรอบอย่างชัดเจน

...

ดักแด้หิน สรุปแล้ว คือมูลฉลามไฮโบดอนท์ ยุคดึกดำบรรพ์

เมื่อได้คตดักแด้หินมาแล้ว ต้องมีการพิสูจน์ว่าแท้จริงแล้วเป็นอะไรในทางวิทยาศาสตร์ และพบกับ "ดร.ธนิศ นนท์ศรีราช" นักวิจัยจากศูนย์วิจัยและการศึกษาบรรพชีวินวิทยามหาวิทยาลัยมหาสารคาม หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ซากดึกดำบรรพ์ของไทย ซึ่งในเบื้องต้นต้องผ่าครึ่งว่าข้างในคตดักแด้หิน มีองค์ประกอบอะไร หรือโครงสร้างอย่างไร และก่อนผ่าครึ่งต้องหล่อเรซิ่น เพื่อเพิ่มความแข็งแรง แล้วตัดด้วยเครื่องตัด ผ่ากลางเป็นแนวขวาง ก่อนเข้าเครื่องเจีย เพื่อทำให้ชิ้นตัวอย่างบางที่สุด 

...

ก่อนเข้าเครื่องตรวจต้องนำไปฝนจนบาง ประมาณ 50 ไมครอน หรือเกือบเท่าเส้นผม ให้แสงสามารถทะลุผ่านได้ และส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์ว่าข้างในมีอะไร จนพบว่าเป็นเศษกระดูก และน่าจะเป็นเกล็ดปลา จนสามารถยืนยันได้ว่าเป็นมูลสัตว์ คาดว่าเป็นของสัตว์กินเนื้อเป็นอาหาร หากเป็นดักแด้จะไม่มีลักษณะเช่นนี้ เป็นมูลลักษณะเป็นเกลียวของปลาฉลามไฮโบดอนท์ สัตว์ดึกดำบรรพ์ เมื่อกว่า 200 ล้านปีก่อน สันนิษฐานได้ว่าบริเวณที่ค้นพบดักแด้หิน เคยเป็นแหล่งน้ำจืดโบราณมาก่อน

...

ปลาฉลามไฮโบดอนท์ เป็นปลาน้ำจืด ซึ่งปัจจุบันสูญพันธุ์ไปแล้ว หน้าตาคล้ายกับปลาฉลามในปัจจุบันแต่ตัวเล็กกว่า และสรุปแล้วคตดักแด้หิน ก็คือมูลของฉลามไฮโบดอนท์ ยุคดึกดำบรรพ์ และดูจากมาตราธรณีกาล แสดงให้เห็นว่าดักแด้หินอยู่ในยุคไทรแอสซิก ก่อนยุคไดโนเสาร์จูแรสซิก และทำให้รู้ว่าดักแด้หินไม่ใช่ตัวดักแด้ที่กลายเป็นหิน แต่เป็นมูลฉลามน้ำจืดไฮโบดอนท์ ได้กลายเป็นหินศักดิ์สิทธิ์ ขึ้นอยู่กับความเชื่อศรัทธาของแต่ละคน ติดตาม #ข่าวแสบเฉพาะกิจ รายการวาไรตี้ข่าวสุดแสบ จะพิสูจน์ ตรวจสอบ พร้อมลงทุกพื้นที่ ขยี้ทุกความจริง ทุกวันเสาร์ 6 โมงเย็น ทางไทยรัฐทีวี ช่อง 32.