
“คนหาย” วัยทำงานมากสุด 80% หาพบ แม้เป็นศพ ต้องพากลับบ้าน
หลายๆ ครั้ง กับคดี “คนหาย” ที่สุดท้ายกลายเป็น “ศพ” อย่างเช่นที่เกิดขึ้นกับ “น้องสา” สาว “ติ๊กต่อกเกอร์” ชาวเมียนมา ที่ล่าสุดพบว่าเสียชีวิตและพบศพในบ่อ ใกล้วัดร้างที่เมืองคอน จ.นครศรีธรรมราช แต่...บางคดี หาใช่เป็นเช่นนั้น






จากข้อมูลคนหายของมูลนิธิกระจกเงา ข้อมูล ณ วันที่ 13 มีนาคม 2567 พบว่า มีการประกาศตามหาคนหาย จำนวน 562 คน แบ่งเป็น เด็ก จำนวน 36 คน คนแก่ที่มีภาวะ “อัลไซเมอร์” จำนวน 82 คน ที่เหลือ คือบุคคลทั่วไป...
เอกลักษณ์ หลุ่มชมแข หัวหน้าศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา เผยว่า เดิมทีสังคมไทยจะโฟกัส เด็กกับคนชรา แต่ในความเป็นจริง คนหาย ได้ทุกช่วงอายุ ซึ่งความเป็นจริงแล้ว “คนหาย” มากที่สุด คือ คนวัยทำงาน โดยเฉพาะก่อนวัย 30-60 ปี
กลุ่มนี้จะมีสาเหตุการหาย 3 ปัจจัย
1. มีอาการป่วยทางจิตเวช
2. ภาวะความเครียด และซึมเศร้า
3. ความรุนแรงในครอบครัว
กลุ่มเหล่านี้มีโอกาสพลัดหลงออกจากบ้าน ด้วยอาการป่วย บางคนทำงานดีมาก วันหนึ่งมีภาวะความเครียดมาก กลายเป็นว่า เริ่มที่จะพูดคนเดียว หูแว่ว ไม่สามารถอยู่ในบ้านได้ ต้องไปใช้ชีวิตเร่ร่อน คนที่มีเงิน มีโอกาสไปเช่าโรงแรม ตามสถานที่ต่างๆ
ส่วนกรณีความรุนแรงในครอบครัว ไม่ใช่เรื่องการทำร้ายทุบตีเพียงอย่างเดียว แต่มันเกิดความรู้สึกว่า เขาไม่อยากที่จะอาศัยในครอบครัวนั้นๆ แล้ว กับเหตุผลต่างๆ เช่น ปัญหาด้านเศรษฐกิจ การใช้คำพูดรุนแรง หรือแม้กระทั่งเรื่องความรัก คือ “หมดรัก” กันแล้ว หรือมีคนใหม่แล้ว ผลเหล่านี้จะทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหนีออกจากบ้าน และภาพภายนอก จะถูกมองว่าเป็นปัญหา “ผัวเมีย”
เหมารวมเรื่อง "ผัวเมีย" = ละเลยปัญหา

นายเอกลักษณ์ อธิบายว่า การมองแบบนี้ แล้วตีความเป็นเรื่องผัวเมีย นั้น จะทำให้ปัญหาถูกปล่อยปละละเลย เพิกเฉย จากนั้นก็นำไปสู่ปัญหาอย่างอื่นเช่น ปัญหาอาชญากรรม...
"เราจะเห็นข่าวการฆ่ายกครัว การบุกทำร้ายฝ่ายหญิง หรือฝ่ายชาย ปัญหาเหล่านี้มาจากสาเหตุคือ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหนีออกไปและติดต่อไม่ได้ เมื่อไปแจ้งความ ตำรวจบอกว่า เรื่องผัวเมีย"
ประเด็นคือ ฝ่ายที่ตามหานั้น มีความร้อนรุ่มอยู่ในใจ แต่กลับไม่มีใครมารับฟังปัญหา
ดังนั้น สิ่งที่เราทำ คือ เราไม่ได้ตามหาให้โดยทันที แต่เราจะรับฟัง เพื่อดับความร้อนความรู้สึกว่า คนในครอบครัวเขาหายไป เราต้องทำให้ทุเลาลง หากเราไม่ทำเช่นนั้น เขาพร้อมที่จะระเบิดออกมา กลายเป็นปัญหาอาชญากรรมอื่นในสังคม และจะมาโทษว่า นี่แหละ คนมีปืน แต่เรากลับไม่ได้มองไปที่ต้นตอของปัจจัยปัญหาที่ขาดการรับฟัง การให้คำปรึกษาที่ดี
คำปรึกษาที่ดี : เราต้องทำให้เขารู้ก่อนว่า ต่างฝ่ายต่างมีสิทธิเลือกที่จะไม่อยู่ หรือใช้ชีวิตกับใครที่หมดรัก
การตามหาตรวจสอบความปลอดภัย : คือสิ่งที่เราจะทำหลังจากนั้น เพื่อเช็กว่า อีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่และปลอดภัยดี และหากเขาประสงค์จะไม่ติดต่อกับผู้แจ้ง เราจะถือสิทธิเรื่องนั้น และเราบอกกับผู้แจ้งว่า เขาไม่อยากกลับมาอยู่ในสถานะ สภาพแวดล้อมเดิม

รู้แล้วไม่บอก! ขู่อาฆาต จนท. รับมือด้วยสกิล
ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ต้องรับมือกับคนที่ตามหา เพราะอีกฝ่ายไม่อยากเจอ!
นายเอกลักษณ์ ยอมรับว่า มีบางเคสถึงขั้นโกรธกริ้วเจ้าหน้าที่ เพราะรู้แล้วไม่ยอมบอกว่าอีกฝ่ายอยู่ที่ใด จึงถึงขั้นข่มขู่
“เรื่องแบบนี้ เจ้าหน้าที่ต้องอาศัย “ทักษะ” คือ “การฟัง” ในความเป็นจริง คือ คนเหล่านี้ไปเล่าปัญหาให้ใคร จะไม่มีใครฟัง แต่เรารับฟัง ซึ่งคนอื่นเขาจะมองว่าเป็นเรื่องผัวเมีย ไม่รับฟัง และให้คำแนะนำส่งเดช
ดังนั้น สิ่งสำคัญคือ การรับฟังและจับประเด็นสำคัญในชีวิตเขา ว่ามีเรื่อง “สำคัญ” กว่าเรื่องนี้หรือไม่ เช่น ลูก หากฝ่ายหญิงทิ้งลูกเอาไว้ เราจะดูแนวทางในการดูแล เช่น ส่งเด็กไปอยู่ที่บ้านพักหรือไม่ หรืออยู่กับญาติ
“การพูดคุยเหล่านี้ อาจทำให้เขาเล็งเห็นถึงความผิดของตัวเอง ซึ่งมีหลายเคส ที่สามียอมรับความผิดว่า มาจากความรุนแรงของตัวเอง ตีเมีย ทำร้ายเมีย กินเหล้าเมายา เมื่อเขาพูดถึงความผิดตัวเอง จะทำให้เขาเริ่มเข้าใจเมีย ว่าเหตุใดต้องหนีไป"
ความรุนแรงในครอบครัวเป็นเรื่องที่ต้องให้เวลา และ “เวลา” มันเป็นคำตอบ ซึ่งบางครอบครัว สามารถกลับมาอยู่ด้วยกันได้ หลังจากอีกฝ่ายหนึ่งให้เวลา เมื่อเขาหรือเธอได้หนีออกจากบ้านไป

การฆ่าไม่ใช่เหตุผล แต่มีที่มา

คนหาย และ โศกนาฏกรรม
เมื่อถามว่า แนวโน้ม “คนหาย” เริ่มเป็นวัยหนุ่มสาวตั้งแต่เมื่อไหร่ นายเอกลักษณ์ เชื่อว่าเรื่องนี้มีมานานแล้ว แต่...เราไม่รู้ และถูกมองเมิน เพราะทัศนคติเรื่องผัวเมีย จนกระทั่งวันหนึ่ง เรากลับมานั่งดูข่าว พบว่า นอกจากไปทำร้ายคนอื่นแล้ว เขายังทำร้ายตัวเองด้วย และทิ้งจดหมายไว้ แบบนี้คือ “เคสคนหาย” ของเราหรือไม่...?
นี่คือการตั้งคำถามกับตัวเอง “หากเรารับฟังในวันนั้นกับเขา และให้คำปรึกษาอย่างถูกต้อง มันอาจจะไม่เกิดเหตุสลดหรือไม่ พอเราพยายามหาความรุนแรงในแต่ละเคส มันก็อาจจะช่วยได้ ถึงแม้บางเคสจะข่มขู่ คุกคามเรา เช่น ถามว่า “สำนักงานคุณอยู่แถวหลักสี่ใช่ไหม ผมมีปืนนะ...”
เมื่อพูดกับเราแบบนี้ ขนาดเราเป็นคนนอก ยังข่มขู่เราเลย และหากเป็นคนในครอบครัวล่ะ จะขนาดไหน.. อย่างไรก็ตาม โดยที่สุด สิ่งที่เขาต้องการคือ “คนรับฟัง”
จากคนหาย กลายเป็นศพ
นายเอกลักษณ์ อธิบายว่า มันเป็นเรื่องยากที่จะบอกได้ แต่เท่าที่เก็บข้อมูล ตัวเลขดังกล่าวอาจไม่มาก คือ 10-20 รายต่อปี อย่างกรณี “น้องสา” พื้นปมคดีนี้มาจากเรื่องความรัก ชู้สาว เกี่ยวข้องในประเด็นความสัมพันธ์ในครอบครัว ซึ่งเคสแบบนี้มีมาโดยตลอด แต่รุนแรงถึงการฆ่าอำพราง มันอาจจะไม่มากนัก


ปัญหา “คนหายกลายเป็นศพ” นั้น หากเขาตั้งใจจะหาย และต้องการคิดสั้นนั้น เป็นสิ่งที่ยากมากที่จะช่วยได้ทัน เนื่องจากกว่าเราจะรู้ มาแจ้งกับเรา คือ เขาหายตัวไปแล้ว 1-2 วัน จากการที่ต้องหาคนหาย มันจะกลายเป็นว่าเราต้องไปหาศพแทน
กรณีความรุนแรงที่จะไปทำร้ายอีกฝ่าย...แบบนี้เรายังพอมีเวลาพูดคุย และติดต่ออีกฝ่ายว่า ปลอดภัยหรือไม่...ซึ่งส่วนใหญ่ก็สามารถติดต่อได้ทุกราย โดยยังสามารถ “ระงับ” ปมความขัดแย้งได้
หากคุณต้องการให้ความสัมพันธ์เหมือนเดิม ก็ลองวิเคราะห์ปัญหาจากความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลงไปนั้น เกิดมาจากอะไร จากนั้นคุณก็ไปแก้ปัญหานั้น เช่น กินเหล้ามายา ทุบตีเมีย คุณต้องแก้ปัญหานั้นก่อน
“ที่ผ่านมา เราพยายามตามหาคนหาย ซึ่งภาพรวมเรายังสามารถตามหาเจอ 80% ไม่ว่าจะเป็นเคสไหนก็ตาม ทั้ง เด็ก ผู้ใหญ่ หรือคนป่วย โดยเฉพาะวัยผู้ใหญ่ คนทำงาน สุดท้ายมันจะเข้าไปตามระบบ ไม่ระบบใดก็ระบบหนึ่ง คนที่หนีไป เช่น หนีจากสามี เขาก็จะติดต่อครอบครัว หรือพี่น้อง และเขาก็ไม่ยอมบอกสามี แต่เขาเลือกที่จะบอก “คนกลาง” อย่างเรา ที่เป็นมูลนิธิฯ หรือบางเคส เขารู้ว่า สามีมาตามหา เขาจะส่ง “ข้อความ” มาบอก ว่าเขาปลอดภัยดี เราก็จะยืนยันด้วยโทรศัพท์ หรือวิดีโอคอลพูดคุย”
ในทางการสืบสวน เราประสานงานกับ “ตำรวจ” แต่..หากเป็นบุคคลที่บรรลุนิติภาวะแล้ว เราจะคำนึงถึงข้อมูลส่วนบุคคลด้วย หากเขาเลือกที่จะสมัครใจไป ก็จะอยู่ที่แนวทางการวิเคราะห์
หากผู้แจ้งเป็นสามี-ภรรยา เราจะขอพูดคุยกับพ่อแม่ฝ่ายนั้นๆ ก่อน แต่...หากพ่อแม่ตามหาด้วย แสดงว่า “คนหาย” จริงๆ เพราะขนาดบุพการีก็ตามหา

2 เคสในตำนาน คนหาย กลายเป็นคดีดัง
หัวหน้าศูนย์คนหาย มูลนิธิกระจกเงา เล่าว่า ที่ผ่านมาเคยมีเคสที่เป็นตำนานเกิดขึ้น
เหตุการณ์แรก : สามี ตามหา ภรรยาหาย
“สามี” มาแจ้งว่า “ภรรยา” หายตัวโดยเขากับภรรยาเดินทางไปต่างจังหวัดด้วยกัน แต่เนื่องจาก “ภรรยา” มีงานต้องกลับก่อน และระหว่างกลับนั้น “ภรรยา” ได้หายตัวไป..
เรามีการตั้งข้อสังเกตกับเรื่องนี้หลายประเด็น และคิดว่า “ภรรยา” อาจจะต้องการหนีจากสามี
แต่สิ่งที่คิดไม่ใช่แบบนั้นเลย เพราะระหว่างทางกลับบ้าน “ภรรยา” ถูกคนร้ายล่วงละเมิดทางเพศและฆาตกรรม ระหว่างทางเข้าบ้าน โดยที่สามีไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้น
ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้น คือ เราต้องตั้งสมมติฐานว่า “คนหาย” สามารถเกิดขึ้นได้จริง
เคสที่สอง : ภรรยาตามหาสามีขับรถรับจ้าง
คดีนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2556 ทางมูลนิธิฯ ได้รับแจ้งจากฝ่ายภรรยาว่า “สามี” หายตัว โดยที่สามีมีอาชีพขับรถกระบะรับจ้าง เราก็ตั้งสมมติฐานว่า ผัวมีเมียใหม่หรือเปล่า เนื่องจากอาชีพขับรถกระบะรับจ้างแบบนี้ อาจจะมีเมียใหม่ ตามจังหวัดต่างๆ
ตอนแรกคิดว่า เป็นเรื่องที่ “สามี” แอบไปมี “เมียน้อย” ปรากฏว่าอีก 2-3 วัน ได้รับแจ้งว่ามีคนรับจ้างขับรถกระบะหายอีก 1 ราย...
จากนั้นไม่นาน ก็มีคนขับรถกระบะรับจ้างหายอีก...
เอ๊ะ มันแปลกๆ ละ ปรากฏว่า เกิดคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง “วางยาพิษ” ในกาแฟ แล้วชิงทรัพย์ (3 นาทีคดีดัง : ชิงทรัพย์อำมหิต วางยาพิษ 5 ศพ)
ดังนั้น การหายของผู้คนนั้น อาจจะไม่ใช่เรื่องชู้สาว หรือปัญหาครอบครัวอย่างเดียว แต่..อาจจะเกิดเรื่องร้ายแรง อย่างเหตุ อาชญากรรม ขึ้นได้...
“เรื่องคนหายเป็นเรื่องใกล้ตัว อย่าคิดว่ามันจะไม่เกิดกับครอบครัวเรา เนื่องจาก ณ ปัจจุบัน ไม่ว่าใครหรือครอบครัวไหน จะยากดีมีจน ก็มีโอกาสกลายเป็น “คนหาย” ได้ทั้งนั้น...สิ่งสำคัญคือ “ทุกคน” ต้องช่วยเป็นหูเป็นตา สังเกตสิ่งผิดปกติ ขอให้แจ้งมายังเจ้าหน้าที่ เพราะคนคนนั้นอาจเป็นคนหายที่ญาติกำลังตามหาอยู่...”