
จากมติ ครม.ปี 42 ถึง รากปัญหา ครู(มี)เวร
“วัวหายล้อมคอก”
จากกรณีที่เกิดขึ้นกับ ครูเวรหญิงรายหนึ่ง ที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ใน จ.เชียงราย โดนคนร้ายที่รับจ้างมาตัดไม้ในโรงเรียน เข้ามาทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรง และต่อมา ตำรวจได้ตั้งข้อหา ทำร้ายร่างกาย พยายามจะล่วงละเมิดทางเพศ และ เสพยาเสพติด ประเด็นนี้ กลายเป็นเรื่องที่สังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง และกดดันให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหา...และทันทีทันใด นายกนิด หรือ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี จึงขอให้ยกเลิก มติ ครม. เมื่อวันที่ 6 ก.ค.2542 ดังกล่าว ที่ให้ครูไปเฝ้าเวรยาม ซึ่ง ทาง ครม. ก็มีมติยกเลิก ในวันนี้...



หลักเกณฑ์การอยู่เวรรักษาการณ์
ข้อที่ 1

แนวทางปฏิบัติ
“เวรรักษาการณ์” หมายถึง เวรเฝ้าดูแลเหตุการณ์ประจําสถานที่นั้นๆ โดยมีอํานาจ หน้าที่ตามที่ผู้บังคับบัญชากําหนด
“ผู้ปฏิบัติหน้าที่เวร” หมายถึง ผู้อยู่เวรรักษาการณ์นอกเวลาทําการ
“หัวหน้าเวร” หมายถึง ผู้ปฏิบัติหน้าที่เวรที่เป็นผู้ควบคุมพิจารณาตัดสินใจกรณีต่างๆ ในการปฏิบัติหน้าที่เวร
“ผู้ตรวจเวร” หมายถึง ผู้ตรวจตราดูแลการปฏิบัติหน้าที่เวรรักษาการณ์ของผู้ปฏิบัติ
ข้อที่ 2

ข้อเสนอตาม มติ ครม. 6 กรกฎาคม 2542
ให้กระทรวง ทบวง กรม สํานักงานหรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐ ทั้งในส่วนกลางและ ส่วนภูมิภาค และหน่วยงานอื่นที่มี กฎหมายบัญญัติให้มีฐานะเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่น และรัฐวิสาหกิจ จัดให้มีเวรรักษาการณ์ ประจําสถานที่ราชการหรือหน่วยงานนอกเวลาราชการ และในวันหยุดราชการตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อดูแลป้องกันความเสียหายอันจะบังเกิดแก่สถานที่ราชการ
ข้อที่ 3

ผู้ปฏิบัติหน้าที่เวร
แต่ละผลัดให้มีหัวหน้าเวร 1 คน และผู้อยู่ร่วมปฏิบัติหน้าที่เวร อีก 1 คน หากส่วนราชการหรือหน่วยงานแห่งใดมีจํานวนผู้ปฏิบัติหน้าที่เวรน้อย ไม่สะดวกแก่ การปฏิบัติให้ลดจํานวนผู้ปฏิบัติหน้าที่เวร ได้ตามความจําเป็น โดยให้อยู่ในดุลพินิจของผู้บังคับบัญชา ของส่วนราชการหรือหน่วยงานนั้น
ข้อที่ 4

ผู้ควบคุมเวร
ในแต่ละผลัดของการจัดเวรรักษาการณ์ให้มีผู้ตรวจเวร 1 คน โดยให้ผู้ตรวจเวรต้องเป็นผู้ดํารงตําแหน่งในระดับที่สูงกว่าผู้ปฏิบัติหน้าที่เวร
ข้อที่ 5

การกำหนดเวร
ให้ผู้ดํารงตําแหน่งระดับใดเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่เวรรักษาการณ์ หรือผู้ตรวจเวร ให้อยู่ในดุลพินิจของผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานนั้นจะกําหนดตามความเหมาะสม
ข้อที่ 6

ผู้ปฏิบัติหน้าที่
เวรและผู้ตรวจเวรของสตรีให้จัดให้ปฏิบัติหน้าที่เฉพาะในเวลากลางวัน ของวันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดราชการ เว้นแต่ผู้มีหน้าที่โดยเฉพาะที่จะต้องปฏิบัติในเวลากลางคืน โดยจัดให้มีมาตรการรักษาความปลอดภัยแก่ผู้ปฏิบัติหน้าที่เวรและผู้ตรวจเวรสตรีในกรณีนี้ด้วย
ข้อที่ 7

บทลงโทษ
ถ้าปรากฏว่าผู้ปฏิบัติหน้าที่เวร หรือผู้ตรวจเวร จงใจละทิ้งหน้าที่ ให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณา ลงโทษให้เหมาะสมกับความผิดหรือความร้ายแรงแก่กรณี
ข้อที่ 8

จ้างเอกชนได้
ในกรณีที่ส่วนราชการหรือหน่วยงานใดมีหน่วยรักษาความปลอดภัยประจําสถานที่ราชการหรือมีการจ้างเอกชนให้บริการดูแลรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อย หรือหน่วยงานนั้นรับผิดชอบในเรื่องนี้โดยเฉพาะอยู่แล้ว จะไม่จัดให้มีเวรรักษาการณ์และผู้ตรวจเวรก็ได้
ข้อที่ 9

ดุลยพินิจ
กรณีที่ส่วนราชการหรือหน่วยงานใดมีความจําเป็นไม่อาจปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ข้างต้นได้ ให้ผู้บังคับบัญชาใช้ดุลพินิจในการที่จะสั่งการการอยู่เวรรักษาการณ์ตามความเหมาะสมได้ โดยไม่ให้เกิดผลเสียหายกับงานและทรัพย์สินของราชการหรือหน่วยงาน

หากสังเกต คำสั่งโดยละเอียด จะเห็นว่า มติ ครม. ดังกล่าว “ไม่มีข้อความใด” ที่ระบุว่าต้องให้ “ครู” อยู่เวรรักษาการณ์ แต่...ในทางปฏิบัติกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะ การจัดเวรรักษาการณ์ เป็นดุลยพินิจ “ของผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานนั้น” โดยให้ทำหลักฐานการปฏิบัติเวร ระบุ “บุคคล” ให้แน่นอน ถ้า “จงใจละทิ้งหน้าที่” ผู้บังคับบัญชาสามารถลงโทษได้ตามความเหมาะสม...ไม่ห้ามจ้างเอกชนในการดูแลรักษาความปลอดภัย แต่ด้วยมติ ครม. ดังกล่าว และ ระเบียบที่เขียนไว้ แบบนี้ โรงเรียนที่งบไม่เพียงพอ จึงทำให้ “ภาระ” ทั้งหมดลงไปที่ “ครู”

ที่มา ครู(มี)เวร ต้องเฝ้าโรงเรียน
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้ต่อสายพูดคุยกับ ครูวีรบูล เสมาทอง ประธาน สมาพันธ์สมาคมครูแห่งประเทศไทย(ส.ค.ท.) และ เป็นประธานสหพันธ์ครูภาคเหนือ สะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้นกับครูเวร ว่า สิ่งที่เป็นปัญหาเลย จะเป็นเฉพาะโรงเรียนขนาดเล็กเพราะมีอัตราเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอ โดยเฉพาะการขาดนักการภารโรง
ที่ผ่านมา นักการภารโรง ถูกลดอัตรากำลังลง ทำให้ “ภารโรง” ที่เคยทำงานอยู่ เมื่อเกษียณอายุไป อัตรานี้ก็จะถูก “ตัด” ออก ทำให้หลายปีที่ผ่านมา ถูกสะสมปัญหา ไม่มีนักการภารโรง หรือ บางโรงเรียนไม่เคยมีนักการภารโรง ก็ไม่ได้รับ อัตรากำลังมา เป็นที่มาว่าทำไม “ครู” ต้องมาทำหน้าที่ เป็น “ครูเวร” มาทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยให้กับโรงเรียน เพื่อเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหนา ซึ่งบางครั้งเป็นการ “ขอความร่วมมือ” กับชุมชนท้องถิ่น ผู้ใหญ่บ้าน หรือ ใช้วิธีการ “จ้าง” บุคคลภายนอก
แต่ที่ผ่านมา มักมีการ อ้าง มติ ครม. เมื่อปี 2542 มาบังคับใช้ให้ครูมาอยู่เวร เช่น บอกว่า เป็นข้าราชการต้องอยู่เวรยาม ครูเองก็ให้ความร่วมมือ ด้วยความที่รักโรงเรียน ผู้ชาย อยู่เวรกลางคืน ครูผู้หญิง อยู่เวรกลางวัน ซึ่งก็เคยเกิดปัญหาอย่างต่อเนื่อง
ยกเลิก มติ ครม. เดิม แล้วไงต่อ...?
ประธาน สมาพันธ์สมาคมครูแห่งประเทศไทย มองว่า หากไม่มีครูอยู่เวรแล้ว ภาครัฐ ก็ควรจัดงบประมาณ ที่จะมาซัพพอร์ทในการใช้เทคโนโลยี เช่น กล้องวงจรปิด ที่ครู หรือ ผู้บริหารดูได้
“งบประมาณส่วนนี้ไม่เคยมีมาก่อน ยกเว้น แต่ โรงเรียนจะหามาเอง หรือ ขอสนับสนุนจากกลุ่มผู้ปกครอง หรือ หาโดยวิธีการอื่น เช่น ทอดผ้าป่า”
ส่วนการเพิ่ม “อัตรการนักการภารโรง” ที่รัฐบาลจะผลักดันนั้น “ผมขอให้ได้มาจริงๆ เถอะ ถ้าได้มา เรียกว่าเป็น สวรรค์ของครูในโรงเรียนขนาดเล็ก ที่ผ่านมา ส.ค.ท. เรียกร้องมาตลอด หากโรงเรียนได้นักการภารโรงมาจริงๆ จะได้ความปลอดภัยของอาคารสถาที่ ครู และนักเรียนด้วย
“ภารโรง คือ สัญลักษณ์ของโรงเรียน บางโรงเรียนที่ได้ครู ที่มีวุฒิการศึกษาพอสมควร เช่น อนุปริญญา หรือ ปริญญาตรี และบางโรงเรียนเล็กๆ ยังทำหน้าที่แทนครูได้ด้วย”
หลังจากนี้ ส.ค.ท. จะลงพื้นที่เชียงราย ไปพบผู้เสียหาย เพื่อรับฟังปัญหา ก่อนสรุปประเด็นต่างๆ ที่อยากจะให้ช่วยเหลือและแก้ไข ไปยัง ก.ศึกษาธิการ สิ่งสำคัญที่สุดคือ “ผู้บริหารโรงเรียน” แต่ละแห่งนั้น มีความรับผิดชอบโดยตรง ฉะนั้น การจะมีมาตรการใด ก็อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีมาตรการทุกระดับลงมา อย่างปล่อยให้เป็น “ภาระ” ของโรงเรียนอย่างเดียว
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
อ่านบทความที่น่าสนใจ
รวยอู้ฟู่ สู่หนี้สิบล้าน “แม่นุ้ย” ปลูกผักสลัด ชีวิตพลิกฟื้นด้วยเกษตร