เปิดใจเหยื่อหุ้น Stark 2 ราย รายแรกเป็นนักลงทุนทั้งครอบครัว ส่อสูญเงินมากกว่า 100 ล้าน รับทำใจ อีกราย ขรก.สาวสูญครึ่งล้านทุนการศึกษาลูก
เรียกว่าเป็นความเสียหายในหลัก “หมื่นล้าน” สำหรับกรณี "หุ้น Stark" หรือ บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่พบถึงความผิดปกติในการตกแต่งบัญชี ซึ่งเดิมเคยติดอันดับใน SET 100 หรือ บริษัทใหญ่ 100 อันดับแรกในตลาดหลักทรัพย์
สิ่งที่เกิดขึ้น ส่งผลให้มูลค้าหุ้นของ Stark ดิ่งลงมากกว่า 90% จากหุ้นที่เคยมี "ราคาหุ้น" สูงสุดเกิน 5 บาท จนมาเหลือ 2.38 บาท และวันนี้เหลือเพียง 0.02 บาท
ทั้งนี้ "สมาคมตราสารหนี้ไทย" และ "สมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนหุ้นไทย" ได้สรุปความเสียหาย จากกรณีผู้ถือหุ้น และ หุ้นกู้ของ Stark พบว่า มีผู้เสียหายรวม 6,287 ราย มูลค่าความเสียหาย 1.3 หมื่นล้าน ขณะที่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ร่วมกับ 9 องค์กรเกี่ยวข้องกับตลาดทุน ได้แถลงถึงความเสียหาย จาก บมจ.สตาร์ค คอร์ปอเรชัน โดยประเมิน เบื้องต้นว่าอาจจะสูงถึง 3.4 หมื่นล้าน จากหุ้นกู้ 5 รุ่น รวม 9.1 พันล้านบาท และความเสียหายจากการทุจริตงบการเงินราว 2.5 หมื่นล้านบาท ยังไม่นับรวมมูลค่าตลาด (Market Cap) ที่ราคาหุ้น STARK ดำดิ่งลงอย่างรวดเร็ว
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ มีโอกาสพูดคุยกับ ผู้เสียหาย หุ้น Stark ซึ่งคนแรกมาจากครอบครัวนักลงทุน ที่เสียหายกับหุ้นดังกล่าว นับ 100 ล้านบาท และ อีกคนเป็นข้าราชการ เสียหายไปกว่า 4 แสนบาท
...
ครอบครัวเสียหาย 100 ล้าน!
คุณเอ (นามสมมติ) หนึ่งในครอบครัวนักลงทุน ยอมรับว่า กรณีหุ้น Stark ครั้งนี้ ทั้งครอบครัว แม่ พ่อ และตนเอง เสียหายรวมกันนับ 100 ล้าน โดยคุณแม่ เสียหายประมาณ 70 ล้าน พ่อ 20 กว่าล้าน ส่วนตนเอง ประมาณเกือบ 10 ล้านบาท
ก่อนที่จะมีการลงทุน เราก็มีการตรวจสอบข้อมูลข่าวสาร ทั้งในยูทูบ รวมไปถึงเข้าไปดูงบการเงิน และเห็นว่ามีกำไรเติบโตมาตลอด ตัวบริษัท ก็ถือหุ้นโดยเจ้าของที่มีความน่าเชื่อถือ และช่วงก่อนหน้านี้ ก็มีการเพิ่มทุน เพื่อจะเตรียมเงินไปซื้อบริษัทแห่งหนึ่งในประเทศเยอรมนี ถึงแม้ดีลจะยกเลิก ราคาก็ตกลงในระดับหนึ่ง
การขึ้นลงของราคาหุ้น มันก็ยังเป็นปกติ ก็คิดว่าเงินที่ระดมมา ก็น่าจะยังอยู่ แต่...เหตุไม่คาดคิดมาเกิดขึ้นช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ความผิดปกติ คือ ไม่ยอมส่งรายงานงบประมาณประจำปี จากนั้น ตลาดก็สั่ง SP (ห้ามซื้อขายเป็นการชั่วคราว) หลังจากนั้นก็ลงมาหนักทันที ไม่มีโอกาสได้ออกเลย
“งบที่ผ่านมา เป็นการตกแต่งขึ้นมา อะไรที่คิดว่าเป็นความจริง ก็ไม่จริง มันเป็นการสร้างความเสียหายให้กับเราและครอบครัวอย่างหนัก ซึ่งเรื่องนี้ หากเป็นการลงทุน และเกิดขาดทุนแบบทั่วไป เราในฐานะ นักลงทุนเราก็ยอมรับได้ แต่กรณี Stark ตอนแรกบอกกำไรปีละ 1,000-2,000 ล้าน แต่พอถึงเวลา บอกขาดทุน 5,000 ล้าน จนทำให้ทุนของผู้ถือหุ้นติดลบ ต้องเข้าการฟื้นฟู เรียกว่า พลิก “จากหน้ามือเป็นหลังมือ” ทันที”
ไม่ถึงขั้นล้มละลาย แต่ก็ต้องเริ่มนับ 1 ใหม่ในตลาดหุ้น
คุณเอ ยอมรับว่า เงินที่คาดว่าอาจจะสูญเสียไปนับร้อยล้านของครอบครัว มาจากเงินที่เคยได้กำไรจากการลงทุนในตลาดหุ้น โดยคุณแม่ คุณพ่อ รวมถึงตนเอง มีอาชีพเป็นนักลงทุนในตลาดหุ้นมานาน เราค่อยๆ ปั้นพอร์ตของเรา จากเงินไม่กี่ล้าน จนกลายเป็นร้อยล้าน ดังนั้น เมื่อถึงตรงนี้เราอาจจะเริ่มต้นใหม่ นับ 1 ใหม่ ทุกอย่างกลายเป็นประสบการณ์ที่ทำให้เราได้เรียนรู้
ส่วนโอกาสได้คืนนั้น คุณเอ บอกว่า เท่าที่ทราบก็มีหน่วยงานได้รวบรวมผู้เสียหายเอาไว้ และบอกให้เราไปแสดงตัวตน โดยบอกว่าจะดำเนินคดีทางแพ่งให้ โดยหุ้นที่เราซื้อเป็นหุ้นสามัญ แต่ก็ยังไม่เห็นความชัดเจน ทำได้แค่รอกลุ่มผู้ดำเนินงานจะดำเนินการอย่างไร
นอกจากนี้ เรายังมีการดำเนินการทางอาญา โดยรวบรวมผู้เสียหาย 21 คน ไปแจ้งความในกรณี ฉ้อโกง โดยหวังว่าเราจะเอาผิดกับผู้เกี่ยวข้องกับการทุจริตได้
“ส่วนกรณีจะได้เงินคืนหรือไม่ เรียกว่าตอนนี้ไม่ได้หวัง เพราะเงินจำนวนมากมันไปแล้ว ถึงแม้จะทำใจลำบากก็ตาม เราก็ต้องอยู่ต่อไปให้ได้ เพราะเรื่องที่เลวร้าย คือ เราสูญเสียเงินก้อนใหญ่ในชีวิต แต่ก็ยังมีข้อดี คือ เรายังมีเงินเหลือจำนวนหนึ่ง ที่อาจจะยังทำให้อยู่ได้ และไม่ถึงขั้นกู้หนี้ยืมสินใครมา”
...
ข้าราชการสาว เสียหาย 4.3 แสน ทุนการศึกษาของลูก
ด้านคุณบี (นามสมมติ) ข้าราชการสาว ในวัย 37 ปี ที่เริ่มอาชีพ “นักลงทุน” ในตลาดเมื่อไม่กี่ปีก่อน ยอมรับว่า เธอสูญเสียเงินไปประมาณ 4 แสนบาท โดยก่อนลงทุน เราดูไปถึงงบบริษัท ดูดีมีกำไร ทุกอย่างเติบโต เรียกว่า ตามตำราที่ได้ศึกษามาเป๊ะ
“ชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัทติดอันดับใน SET100 ลักษณะธุรกิจที่สายไฟ ที่ดูมั่น องค์ประกอบเหล่านี้ทำให้เรามั่นใจ”
คุณบี ยอมรับว่า เธอไม่ใช่คนร่ำรวยอะไร เงินเดือนข้าราชการที่ทำงานมากว่า 10 ปี ก็เอามาลงทุนตรงนี้ ซึ่งเราหวังว่า จะเก็บเงินไว้ให้เป็นทุนการศึกษาให้กับลูก ถามว่าหวังจะได้คืนไหม ก็แทบไม่มีความหวังในเรื่องเงิน แต่ก็อยากจะให้จับผู้ที่โกงเราเข้าคุก เราจึงรวมตัวกันไปแจ้งความ 21 คน ความเสียหาย 147 ล้านบาท ไปแจ้งความกับ กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) โดยจะมีนัดสอบปากคำในวันที่ 4 ก.ค.นี้
ที่ผ่านมา เราก็บริหารความเสี่ยงด้วยการลงทุนกับหุ้นหลายตัว ประมาณ 4-5 ตัว แต่ตัวนี้เรามองว่ามีโอกาสโตสูง จึงทำให้เราลงทุนค่อนข้างมาก และมันอยู่ใน SET100 ที่หน่วยราชการการันตี เราจึงจัดไป 4.3 แสน
“ก่อนหน้านี้เราซื้อหุ้นตัวหนึ่ง ซึ่งก็ดิ่งหนัก แต่วันหนึ่งก็กลับขึ้นมา ซึ่งมันตรงกับหนังสือที่เราอ่านเรียกว่า เข้าตามตำรา แต่...กรณีนี้เรียกว่า “ไม่เชื่อตำราพวกนี้” แล้ว แต่มันก็ถือเป็นประสบการณ์เอาไว้เรียนรู้ ตอนนี้คงจะไปทางสาย VI (นักลงทุนที่เลือกลงทุนในหุ้นคุณค่า) ซึ่งสายนี้มันค่อนข้างมันคง”
...
บทเรียนจากการลงทุน
เมื่อถามถึง บทเรียนจากการลงทุนครั้งนี้ สิ่งที่จะฝากถึงนักลงทุนคนอื่นๆ คุณเอ กล่าวว่า ไม่ว่าคุณจะซื้อหุ้นในช่วงไหน โดยมากจะพิจารณาจากงบการเงิน กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ ข่าวสารในแง่บวก
คุณเอ กล่าวว่า บทเรียนจากหุ้นตัวนี้ คือ หลังจากนี้อาจต้องหลีกเลี่ยงหุ้นที่มีหนี้สินเยอะ เมื่อกำไรหายไปส่งผลให้หนี้สินท่วมตัว หากเราลงทุนในหุ้นที่มีหนี้สินไม่มาก ถึงแม้จะเกิดความเสียหาย แต่อาจจะไม่หนักเท่านี้ แต่ตอนนี้ราคาหายไปถึง 99% ส่วนสัดส่วนในการลงทุน เราควรพิจารณาแต่ละบริษัท และไม่ควรจะลงไปในสัดส่วนที่มากเกินไป ถึงแม้ผู้ถือหุ้นใหญ่จะน่าเชื่อถือเพียงไรก็ตาม ควรจะกระจายอย่างน้อย 4-5 ตัว ในเงินทุน 100% เพราะหากโดนไปแล้ว เราจะไม่รู้สึกว่ามันหนักเกินจะรับไหว
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์
อ่านบทความที่น่าสนใจ
...