ไทยต้องเตรียมพร้อมรับมือสังคมผู้อายุ และผู้กำลังเข้าสู่วัยใกล้ฝั่งพร้อมแล้วหรือยัง ในการใช้ชีวิตบั้นปลายให้มีความสุข เพราะจากการระบาดของโควิด ได้ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของจำนวนประชากรในสังคมไทย และด้วยจำนวนคนเกิดที่ลดลงต่อเนื่อง จาก 6 แสน-8 แสนคนต่อปี ลดลงมาน้อยกว่า 6 แสนคน และจำนวนคนตายที่เพิ่มมากขึ้น ยิ่งเป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างประชากรที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทำให้สังคมไทยปี 2565 ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบรูณ์

ข้อมูลปี 2564 มีเด็กเกิดใหม่ประมาณ 5.4 แสนคน ลดลงมากกว่าครึ่งเป็นประวัติศาสตร์จากเมื่อ 50 ปีก่อน ส่วนคนตาย มีจำนวน 5.6 แสนคน และเมื่อนำจำนวนคนเกิดมาหักลบกับคนตาย นั่นเท่ากับว่า ไทยมีอัตราการเพิ่มของประชากรติดลบ ทำให้ปี 2565 ไทยมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากถึง 20% ของประชากรทั้งหมด หรือจำนวน 12.9 ล้านคน จากจำนวนประชากรสัญชาติไทยที่มีชื่ออยู่ในทะเบียน 66,080,812 คน (ข้อมูล ณ 31 ธ.ค. 2565) และอีกไม่ถึง 10 ปี จะก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป มากถึง 28% ของประชากรทั้งหมด จากข้อมูลสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล

ไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ กว่า 13 ล้านคน ในยุคเกิดน้อย ตายช้า

...


ปฏิเสธไม่ได้ในช่วงโควิดระบาด ได้สร้างความยากลำบากกับคนไทย โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีปัญหาด้านสุขภาพมากสุด มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและการเสียชีวิต เกิดความเหลื่อมล้ำไม่เป็นธรรมในการเข้าถึงบริการทางสังคม รวมถึงกระทบต่อรายได้ในการดำเนินชีวิต ได้เพิ่มความทุกข์ยากให้กับผู้สูงอายุ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ มีสัดส่วนผู้สูงอายุสูงที่สุดในประเทศ ถือเป็นกลุ่มเปราะบางสูงในเรื่องความเป็นอยู่

ไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ กว่า 13 ล้านคน ในยุคเกิดน้อย ตายช้า

“รศ.ดร.ศุทธิดา ชวนวัน” จากสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล คาดว่าในอนาคตครัวเรือนไทยมากกว่าครึ่งจะมีผู้สูงอายุอาศัยอยู่ ขณะที่ผู้สูงอายุที่อยู่ตามลำพังคนเดียวมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นกัน เป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการเข้าไม่ถึงบริการทางสังคม เพราะไม่มีลูกหลานดูแลทำให้ยากลำบากในการเดินทาง เมื่อเกิดภาวะเจ็บป่วย นอกจากนี้ผู้สูงอายุที่อยู่ตามลำพังคนเดียวแบบไร้ญาติขาดมิตร ยังมีแนวโน้มรู้สึกกังวลและซึมเศร้ามากกว่าผู้สูงอายุที่อยู่ร่วมกับคนอื่น

“ยิ่งอายุมากขึ้น ยิ่งรู้สึกกังวลและซึมเศร้าเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผู้หญิงสูงอายุในเขตเทศบาล ต้องการให้คนแวะเวียนมาหาบ้าง เพราะกังวลและกลัวว่าหากเป็นอะไรจะไม่มีใครรู้ ซึ่งภาครัฐควรดูแลเป็นพิเศษในเรื่องจิตใจ เพื่อให้สามารถอยู่ได้ด้วยตนเองอย่างมีอิสระ และอยู่ในสภาพที่สามารถดูแลตัวเองได้ ส่วนกรณีทุพพลภาพ หรือติดเตียง ควรมีอาสาสมัครในชุมชนและระบบเพื่อนบ้าน ช่วยดูแลผู้สูงอายุที่บ้าน”

ไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ กว่า 13 ล้านคน ในยุคเกิดน้อย ตายช้า

แนวโน้มการลดลงของประชากรไทยอย่างรวดเร็ว “ศ.เกียรติคุณ ดร.อภิชาติ จำรัสฤทธิรงค์” ที่ปรึกษาอาวุโส สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุในบทความ ”เส้นทางสู่นโยบายการย้ายถิ่นเพื่อทดแทนประชากร” ชี้ว่าไทยควรริเริ่มนโยบายการย้ายถิ่น เพื่อทดแทนประชากรแต่เนิ่นๆ และต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องในยามที่การแข่งขันการแย่งชิงทรัพยากรมนุษย์ยังไม่สูงมาก และประชากรไทยยังไม่ลดลงมาก ควรให้สัญชาติไทยแก่ชาวต่างชาติ จากการทำงานเชิงรุก มีขั้นตอนและกฎเกณฑ์ที่ถูกต้องเหมาะสม ใช้หลักสิทธิมนุษยชนและมุมมองแบบสากล ควบคู่กับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตัดสินใจ โดยตั้งเป้าจำนวนต่างชาติที่จะนำเข้าต่อปี อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 1 แสนคน

เพราะในช่วง 80 ปีข้างหน้า ประชากรไทยจะหายไปประมาณ 25% จะต้องหาประชากรมาทดแทน เพื่อช่วยชะลอการลดลงของประชากรไม่ให้ลดเร็วจนเกินไป รวมถึงให้สัญชาติแก่ราษฎรในประเทศที่ยังไม่ได้สัญชาติไทย โดยสิ่งสำคัญไทยจะต้องก้าวข้ามอุปสรรคเรื่อง Xenophobia หรือความเกลียดกลัวต่างชาติ เน้นการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการคัดสรรประชากรต่างชาติ

...

ไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ กว่า 13 ล้านคน ในยุคเกิดน้อย ตายช้า

นโยบายการย้ายถิ่นในลักษณะนี้ สหประชาชาติ เรียกว่า การย้ายถิ่นเพื่อการทดแทน คือการย้ายถิ่นที่สามารถช่วยทดแทนประชากรที่หายไปจากการตาย ซึ่งที่ผ่านมาเคยเสนอแนวทางนี้ให้กับหลายประเทศในยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย รวมถึงญี่ปุ่น และเกาหลี พร้อมกับการคาดว่าเมื่อสิ้นศตวรรษที่ 21 ประชากรของประเทศไทยจะลดลงเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดในโลก รองจากญี่ปุ่น

เมื่อปี 2563 นักวิชาการของ The Lancet (Vollset et. al.,2020) ได้สนับสนุนแนวทางของสหประชาชาติ และออกมาเปิดเผยเพิ่มเติมว่า 3 ประเทศแรกที่จะพบปัญหาน่ากังวลมากที่สุด จากจำนวนประชากรลดลงจากปัจจุบันมากกว่าครึ่งหนึ่ง คือ ญี่ปุ่น ไทย และ สเปน ตามลําดับ และเมื่อถึงปี 2643 หรือ 80 ปีข้างหน้า ประชากรของประเทศไทยจะลดลงกว่าครึ่งหนึ่ง เหลือเพียง 30 กว่าล้านคนเท่านั้น หากประเทศไทยไม่ทำอะไร จะทำให้ประชากรจะยิ่งลดลงไปเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นจะต้องหาประชากรมาทดแทนประมาณ 25% หรือ 8 ล้านคน

ไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ กว่า 13 ล้านคน ในยุคเกิดน้อย ตายช้า

...

จากข้อมูลสำนักทะเบียนกลาง วันที่ 31 ธ.ค. 2564 ตามหลักฐานทะเบียนราษฎร พบว่ามีผู้ไม่ได้สัญชาติไทย 9.73 แสนคน และเพิ่มเป็น 9.75 แสนคน จากการประมวลผลเมื่อวันที่ 3 พ.ค. 2565 โดยในจำนวนนี้ไม่สามารถระบุสัญชาติได้ 7.1 แสนคน เป็นบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน 4.32 แสนคน และไม่ได้สัญชาติไทย 2.79 แสนคน

บางส่วนเป็นผู้ไร้สัญชาติ หรือถูกถอนสัญชาติ รวมถึงผู้ลี้ภัยในที่พักพิงชั่วคราว รวมกว่า 1 แสนคน ส่วนบุตรของแรงงานข้ามชาติที่เกิดในไทย คาดการณ์ว่าเกิดปีละ 3 หมื่นคน อาจเป็นโอกาสในการพลิกวิกฤติ ด้วยการคลี่คลายกฎระเบียบเงื่อนไขการให้สัญชาติให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น.