การแพร่ระบาดของโควิด-19 ขณะนี้มีคนไข้เพิ่มสูงขึ้น จากรายงานกรมควบคุมโรค ระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 20 - 26 พ.ย. 2565 มีผู้ป่วยเสียชีวิตวันละ 10 ราย ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน และคนที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญยังจับตาการแพร่ระบาดช่วงปลายปี รวมถึงการกลายพันธุ์ของเชื้อ ที่อาจทำให้การแพร่ระบาดมีความรุนแรงขึ้น
“ผศ.นพ.โอภาส พุทธเจริญ” หัวหน้าศูนย์โรคอุบัติใหม่ทางคลินิก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวกับ “ทีมข่าวเจาะประเด็น ไทยรัฐออนไลน์” ว่า ขณะนี้การแพร่ระบาดของโควิดในไทย มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น คนที่ติดส่วนหนึ่ง ไม่เคยติดมาก่อน และมีคนที่ติดซ้ำเพิ่มมากขึ้น ซึ่งตัวเลขรายงานยอดผู้ติดเชื้อค่อนข้างประเมินได้ยาก เนื่องจากคนไข้บางส่วนรักษาตัวที่บ้าน ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อไม่ถูกรายงานเข้ามาในระบบ จึงยากในการควบคุม หากมีการกลายพันธุ์ของเชื้อในอนาคต

แม้อาการของผู้ติดเชื้อไม่มีความร้ายแรงเหมือนช่วงแรก แต่มีผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงอยู่ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป รวมถึงกลุ่มที่มีโรคประจำตัว
...
“ผู้ป่วยโควิดระยะนี้ มีอาการไม่ต่างจากผู้ป่วยในระยะแรก ตัวอย่างเช่น คนที่มีอาการหนัก มีภาวะเชื้อลงปอด เห็นได้จากผู้ป่วยที่ติดเชื้อในเดือน พ.ย. 2565 มีคนไข้ต้องนอนในโรงพยาบาล เนื่องจากภาวะปอดอักเสบเพิ่มขึ้น 2 เท่า และคาดว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นไปจนถึงหลังปีใหม่ โดยเดือนมกราคม 2566 ตัวเลขผู้ติดเชื้อจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจน”
ปัญหาการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิดช่วงนี้ เกิดจากประชาชนส่วนหนึ่ง มีความเบื่อหน่ายกับการฉีดวัคซีน และหลายคนประเมินว่าความรุนแรงของโรคเบาลง แต่ความเป็นจริงยังมีความรุนแรงของโรคซ่อนอยู่ ขณะเดียวกันคนในสังคมรู้สึกเบื่อข่าวสารเกี่ยวกับโควิด ที่มีมากว่า 3 ปี และเป็นผลร้ายทำให้เกิดการแพร่ระบาดอีกครั้งได้
ด้วยความที่การแพร่ระบาดของโควิดรอบนี้อาจไม่มีอาการรุนแรงในคนไข้บางราย ทำให้หลายคนไม่ยอมกักตัวอยู่ที่บ้าน หรือไม่มีการตรวจหาเชื้อ โดยเฉพาะกลุ่มเด็กที่จะต้องไปโรงเรียน ทำให้เกิดการแพร่ระบาดเป็นวงกว้าง ดังนั้น หากพบว่าตัวเองเป็นกลุ่มเสี่ยง ควรทำการกักตัว 10 วัน ซึ่งเป็นระยะที่เชื้อไม่มีการแพร่กระจาย
“ขณะเดียวกัน การควบคุมการแพร่ระบาดระยะนี้เป็นไปได้ยาก เนื่องจากมีการผ่อนคลายมาตรการป้องกัน หลายประเทศทั่วโลกเริ่มผ่อนคลายมาตรการ เพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศ ดำเนินต่อไปได้ แต่เน้นการเข้าไปช่วยเหลือกลุ่มคนไข้ที่ติดเชื้อ แล้วมีอาการหนัก ให้รับการรักษาทั่วถึงมากขึ้น”
แนวโน้มการกลายพันธุ์ของเชื้อโควิด มีโอกาสเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เพียงแต่เชื้อที่กลายพันธุ์มีความรุนแรงมากกว่าเดิมหรือไม่ แต่สายพันธุ์ที่แพร่ระบาดขณะนี้ยังไม่มีความรุนแรง แต่อนาคตยังต้องจับตาการกลายพันธุ์ เพื่อเฝ้าระวังไม่ให้มีความร้ายแรงเหมือนในระยะแรก
“ถ้าเทียบอัตราการกลายพันธุ์ของเชื้อโควิด เมื่อเทียบกับช่วงแรก มีการกลายพันธุ์ได้มากกว่าเดิมถึง 2 เท่า เพราะขณะนี้ไวรัสมีการกลายพันธุ์แบบก้าวกระโดด สามารถเกิดขึ้นกับคนหรือในสัตว์ได้ แต่สิ่งที่ต้องระวังคือ หากเกิดการแพร่ระบาดในสัตว์ จะควบคุมได้ยาก เสี่ยงจะแพร่กระจายมาสู่คน และทำให้เชื้อมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นได้”
สำหรับคนที่ฉีดวัคซีนมาเกิน 4 เดือน ควรไปฉีดวัคซีนบูสเตอร์ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน ซึ่งจากการวิจัยพบว่า วัคซีนเดิมยังสามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายได้ โดยเฉพาะช่วงปีใหม่ที่คาดว่าจะมีกิจกรรมในการเฉลิมฉลองมากขึ้น การฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันอาการรุนแรงไว้ก่อนย่อมจะช่วยไม่ให้เกิดความสูญเสียได้.