เมื่อเจ้าของสโมสรฟุตบอลที่ได้รับการจัดอันดับจาก "ฟอร์บส์" (Forbes) ให้มีความมั่งคั่งในลำดับที่ 3 ("แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด" Manchester united) และ ลำดับ 4 ("ลิเวอร์พูล" Liverpool) ของโลก ประจำปี 2022 ประกาศนำสโมสรออกเร่ขายในเวลาไล่เลี่ยกัน คำถามแรกที่ผุดขึ้นมาทันทีหลังการประกาศขายครั้งนี้ คือ 2 สโมสรอันเกริกเกียรติและมีฐานแฟนบอลที่ให้การสนับสนุนอย่างเหนียวแน่นทั่วโลก “ควรมีราคาขายอยู่ที่เท่าไร?” ณ ปี 2022 แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้น “เรา” ควรไปเริ่มต้นที่...สถานภาพในปัจจุบันของทั้ง 2 สโมสรภายใต้เจ้าของทีมคนปัจจุบันที่มีสัญชาติอเมริกันทั้งคู่กันก่อน

ลิเวอร์พูล (Liverpool) :

จากการประเมินของ "ฟอร์บส์" มูลค่าทีมลิเวอร์พูล ปี 2022 อยู่ที่ประมาณ 4,450 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีรายได้ 654 ล้านดอลลาร์สหรัฐ, กำไรจากผลการดำเนินงาน 104 ล้านดอลลาร์สหรัฐ, รายได้วันแข่งขัน 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ, รายได้จากการถ่ายทอดสด 2,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ, รายได้เชิงพาณิชย์ 1,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ DEBT/VALUE 4%

...

และมีสปอนเซอร์หลัก คือ Nike, Carlsberg Group, Expedia group, Standard Chartered, Wasabi, AXA

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (Manchester united) :

จากการประเมินของ ฟอร์บส์ มูลค่าทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ปี 2022 อยู่ที่ประมาณ 4,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีรายได้ 663 ล้านดอลลาร์สหรัฐ, กำไรจากผลการดำเนินงาน 128 ล้านดอลลาร์สหรัฐ, รายได้วันแข่งขัน 59 ล้านดอลลาร์สหรัฐ, รายได้จากการถ่ายทอดสด : 2,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ, รายได้เชิงพาณิชย์ : 1,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ DEBT/VALUE 13%

และมีสปอนเซอร์หลัก คือ Adidas, APOLLO TYRES, KOHLER, TeamViewer, Cadbury

สถานะความมั่งคั่ง 2 เจ้าของสโมสรในปัจจุบัน

ลิเวอร์พูล (Liverpool) :

เจ้าของสโมสร "จอห์น เฮนรี" (John Henry) ผู้บริหารกลุ่มทุน "เฟนเวย์ สปอร์ตส กรุ๊ป" (Fenway Sports Group) หรือ FSG มีความมั่งคั่ง 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการประเมินของฟอร์บส์

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : (Manchester united)

เจ้าของสโมสร "ตระกูลเกลเซอร์" มีความมั่งคั่ง 4,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการประเมินของฟอร์บส์

ราคาที่จ่ายซื้อสโมสร :

FSG เข้าซื้อสโมสรลิเวอร์พูล ในปี 2010 ด้วยราคา 475 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนตระกูลเกลเซอร์ เข้าซื้อปิศาจแดง ในปี 2005 ด้วยราคา 939 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

มูลค่ารวมของนักเตะ :

ลิเวอร์พูล : การประเมินมูลค่านักเตะชุดใหญ่ทั้งหมดของหงส์แดง (27 คน) โดย Transfermarkt อยู่ที่ประมาณ 867 ล้านยูโร โดยนักเตะที่มีมูลค่าประเมินสูงสุด คือ "โมฮาเหม็ด ซาลาห์" (อายุ 30 ปี) 80 ล้านยูโร

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : การประเมินมูลค่านักเตะชุดใหญ่ทั้งหมดของปิศาจแดง (29 คน) โดย Transfermarkt อยู่ที่ประมาณ 732 ล้านยูโร โดยนักเตะที่มีมูลค่าประเมินสูงสุด คือ "บรูโน เฟอร์นันเดส" (28 ปี) และ "แอนโทนี" (22 ปี) คนละ 75 ล้านยูโร

...

โครงสร้างพื้นฐาน :

ลิเวอร์พูล : "สนามแอนฟิลด์" ความจุ 54,000 ที่นั่ง และตามแผนการพัฒนาที่วางไว้ ภายในปี 2023 จะมีการขยายความจุสนามเป็น 61,000 ที่นั่ง

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : "สนามโอลด์แทรฟเฟิร์ด" ความจุ 76,000 ที่นั่ง การปรับปรุง หรือขยายสนามครั้งสุดท้ายคือปี 2006

เหตุใดจึงต้องประกาศขายทีมในช่วงนี้ :

นักวิเคราะห์มองตรงกันว่า ปัจจัยหลักที่นำไปสู่การประกาศขายทีมในครั้งนี้ เป็นเพราะโปรเจกต์สร้างแหล่งขุมทรัพย์ก้อนโตในอนาคตไม่ว่าจะเป็นทั้ง "Project Big Picture" และที่สำคัญที่สุดคือการก่อตั้ง "European Super League" ได้มลายหายไปในอากาศ หลังถูกต่อต้านอย่างหนักจากรัฐบาลอังกฤษและอีกหลายๆ ประเทศในยุโรป รวมไปจนกระทั่งถึงสาวกเดอะค็อป และ Red Army

...

ในเมื่อ “อนาคต” มองไม่เห็น “เงินก้อนโต” เช่นที่หวังเอาไว้ ประกอบกับวัฒนธรรมการดูฟุตบอลแบบอังกฤษที่หยั่งรากลึกและยากจะที่เปลี่ยนแปลง เพื่อนำไปสู่การทำโมเดลธุรกิจเช่นเดียวกับ “อเมริกันเกม” ทั้งหลาย ซึ่งชาวอเมริกันมองว่าเป็นเพียงการรับชมเพื่อความบันเทิง “การเสนอขาย” ในยามที่น่าจะได้ “ราคาที่ดีที่สุด” จึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการจะเก็บทีมเอาไว้จนต้องเสียเงินลงทุนเพิ่มเติมไปกับการปรับปรุงทีม รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ อันเป็นผลพวงมาจากการมีผลงานการเริ่มต้นฤดูกาลนี้ที่ไม่เจิดจรัสมากนัก (ลิเวอร์พูล มีความสุ่มเสี่ยงต่อการไม่ติดอันดับไปเล่นแชมเปียนส์ลีกฤดูกาลหน้า รวมถึงมีเสียงเรียกร้องให้เพิ่มงบลงทุนกับการซื้อนักเตะเสริมทีมในช่วงตลาดหน้าหนาวนี้ ส่วน แมนยูฯ กำลังอยู่ระหว่างการสร้างทีมใหม่ หนำซ้ำยังเกิดเรื่องยุ่งๆ จากกรณี คริสเตียโน โรนัลโด)

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

...

ขณะเดียวกันยังมีอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ต้องไม่ลืมคือ “ราคา” ที่ “โรมัน อบราโมวิช” ได้จากการขาย “สโมสรเชลซี” อันแสนเย้ายวน ซึ่งเป็นเงินก้อนโตถึง “5,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ” นั้นได้กลายเป็น “ค่ามาตรฐาน” ไปโดยปริยายแล้วว่า หากใครที่คิดจะซื้อ “ลิเวอร์พูล” หรือ “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” ซึ่งถือเป็นทีมยักษ์ใหญ่เช่นเดียวกันในเวลานี้ ก็จะต้อง “ห้ามจ่ายเงินต่ำกว่า” การเข้า Take Over สโมสรเชลซี ของ "ท็อดด์ โบห์ลี" อย่างเด็ดขาด!

โดยเฉพาะในกรณีของ “ลิเวอร์พูล” ซึ่งประสบความสำเร็จคว้าถ้วยรางวัลมาประดับถิ่นแอนฟิลด์อย่างมากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ภายใต้การคุมทีมของ “เยอร์เกน คลอปป์” เครื่องมือรับประกันความสำเร็จชั้นดีที่จะอยู่กับลิเวอร์พูลต่อไปอีกหลายปีเสียด้วย ขณะเดียวกัน "FSG" ยังมีการทุ่มงบประมาณจำนวนมากไปกับการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและสนามแอนฟิลด์ ให้กับ “หงส์แดง” เสียด้วย ซึ่งกรณีนี้ถือว่า “แตกต่างออกไป” จากสิ่งที่ "ตระกูลเกลเซอร์" บริหารงานสโมสรปิศาจแดงพอสมควร

ท้ายที่สุด...ระหว่างสโมสรคู่ปรับตลอดกาลที่พยายามช่วงชิงความเป็นหนึ่งแห่งเกาะอังกฤษตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา “คุณ” คิดว่า “ลิเวอร์พูล” หรือ “แมนยูฯ” ใครจะได้ “ราคาขายที่สูงกว่ากัน”.

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน

กราฟิก : Anon Chantanant

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง