เรื่องราวสุดประหลาดของหญิงวัย 50 ปี ชาว จ.ตรัง ไว้ผมยาว 1.17 เมตร มากว่า 10 ปี หลังตื่นขึ้นมาเช้าหนึ่งพบเส้นผมที่เคยเงางามสลวยกลับเป็นปมติดกันเป็นแพยาว แม้พยายามสระผมให้คืนสภาพเดิมกลับทำไม่ได้ ชาวบ้านเรียกผมแบบนี้ว่า ผมผีช่อ โดยโบราณเชื่อว่ามีอาถรรพณ์ ผู้ที่พกเส้นผมนี้จะหนังเหนียว ยิงไม่เข้า ซึ่งหลายประเทศทั่วโลกมีความเชื่อลักษณะคล้ายกัน

หญิงวัย 50 ปี ที่ไว้ผมผีช่อเล่าถึงอาถรรพณ์ที่เคยเจอว่า ผมที่ติดเป็นปมหวีเท่าไรก็ไม่คลายออก ทำให้เธอตัดสินใจไปตัดผม แต่ไม่นานก็ล้มป่วย เธอเลยตัดสินใจโกนผม แต่ความเจ็บป่วยกลับไม่หายไป จนต้องไปพบคนเข้าทรงและแนะนำให้ไว้ผมยาว โดยห้ามตัดเด็ดขาด

ขณะเดียวกันก็มีความเชื่อโบราณว่าผู้ที่ครอบครองเส้นผมลักษณะนี้จะหนังเหนียว ซึ่งเธอได้ทดลองยิงปืนใส่เส้นผม ปรากฏว่าปืนเกิดขัดข้องยิงไม่ออก ยิ่งทำให้เธอเชื่อถึงเสียงเล่าลือมากขึ้น แถมพักหลังยังมีทหารตำรวจที่ไปปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่สีแดงมาขอผม เพื่อพกเป็นเครื่องราง

กรณีหญิงรายดังกล่าวไม่ใช่รายแรก เพราะที่ผ่านมาเคยมีหญิงสาวบางรายที่เป็นในลักษณะเดียวกัน ซึ่งตามหลักวิทยาศาสตร์ “ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์” อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ผมลักษณะนี้สามารถพบเห็นได้ทั่วโลก หลายกรณีไม่ได้เป็นมาตั้งแต่กำเนิด

ดังนั้นตัดประเด็นเรื่องกรรมพันธุ์ออก ขณะเดียวกันหญิงรายนี้ยังสระผมปกติ แต่ผมที่มัดเป็นปมกลับไม่หาย
ในเชิงวิทยาศาสตร์เส้นผมประกอบด้วยแกนกลางที่อยู่ภายในกับส่วนที่เคลือบอยู่ภายนอก กรณีนี้คาดว่าเป็นความผิดปกติจากส่วนเคลือบของเส้นผมภายนอกที่ขาดความชุ่มชื้น หรือขาดความสมดุลจนทำให้ผมมัดกันเป็นปม แม้สระผมและหวีผมก็ไม่กลับมาเป็นเส้นตรงดังเดิม

...

อาถรรพณ์ผมผีช่อ เชื่อของขลังป้องกันภัย เตือนปล่อยไว้เสี่ยงสารพัดโรค

ประเทศแถบยุโรปก็มีหญิงที่เป็นลักษณะนี้มาตั้งแต่โบราณ โดยเรียกความผิดปกตินี้ว่า Polish plait แปลว่า ผมถักเปียแบบชาวโปแลนด์ โดยปัจจัยของการเกิดอาจมาจากเส้นผมไปสัมผัสกับสารเคมี หรือการแพ้สารเคมีในยาสระผม ขณะเดียวกันก็พบว่าคนที่ไม่หวีผมอยู่เป็นประจำมีโอกาสเสี่ยงเป็นได้

“ที่น่าสนใจคือในยุโรปตั้งแต่อดีตที่ผ่านมาก็มีความเชื่อตามตำนานพื้นบ้าน ที่ผมแบบนี้ถูกนำไปใช้ในการรักษาโรคแผนโบราณ และเอาไปทำเป็นของขลังป้องกันภัย หรือเอาไปปัดเป่าดูดเอาความเจ็บป่วยออกไปจากร่างกายของมนุษย์”

ดังนั้นคนที่มีผมลักษณะนี้ควรพบแพทย์ เพื่อทำการรักษาอย่างเร่งด่วน เพราะอาจมีโรคร้ายอื่นๆ ตามมา เช่น หนังศีรษะอักเสบ และติดเหา ได้ง่ายกว่าผมลักษณะปกติ

จึงอยากเตือนผู้ที่มีความเชื่อให้ใช้วิจารณญาณ และไม่ควรไปทดลองจนส่งผลร้ายต่อตัวเอง ขณะเดียวกันก็ต้องคำนึงถึงหลักวิทยาศาสตร์ และหาแนวทางแก้ไขที่ถูกต้องเหมาะสม เพื่อไม่ให้เกิดผลร้ายต่อชีวิตทรัพย์สินของตัวเอง.