เริ่มกลับมาแล้ว! สำหรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่แห่เดินทางเข้ามาเที่ยวประเทศไทย จากตัวเลขสถิติในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา พบว่าเดือนเดียวมีนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ มากกว่า 1.17 ล้านคน ถ้าเทียบกับปีก่อน เรียกว่า บวกมากกว่า 7 พันเปอร์เซ็นต์

เมื่อนักท่องเที่ยวเริ่มกลับมา ปัญหาที่มาจากการท่องเที่ยวก็เริ่มกลับมาด้วย...

ดีเดย์ ตีสาม เมื่อคืน (26 ต.ค.)กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาล สนธิกำลังกับอีกหลายหน่วยงานบุกค้นอาคาร ย่านสาทร ที่ถูกดัดแปลงเป็นห้องคาราโอเกะ กว่า 20 ห้อง ซึ่งภายนอกพบรถหรูจำนวนมาก อาทิ รอลส์ รอยซ์, พอร์ช, เบนซ์, บีเอ็มดับเบิลยู จอดอยู่

ซึ่งผลการตรวจค้น พบว่า มียาเสพติดจำนวนมาก อาทิ เคตามีน แฮปปี้วอเตอร์ จำนวนหลายร้อยซอง นอกจากนี้ ยังมีนักท่องเที่ยวชาวจีน จำนวน 237 คน สัญชาติจีน แบ่งเป็นชาย 111 คน หญิง 126 คน ที่เหลืออีก 29 คน เป็นพนักงานสัญชาติไทย และกัมพูชา

พล.ต.ต.นิติธร จินตกานนท์ รอง ผบช.น. เปิดเผยหลังจับกุมว่า พบยาเสพติดหลายรายการ อาทิ ยาเค ยาแฮปปี้วอเตอร์ ไฟว์ ไฟว์ รวมกันกว่า 300 ซอง และเบื้องต้น พบว่ามีการจำหน่ายยาเสพติดภายในสถานบันเทิงแห่งนี้ ซองละ 10,000 บาท ส่วนรถหรูที่ยึดได้ ส่วนมากเป็นของชาวจีน ซึ่งพบว่าเบื้องต้นมีการสวมทะเบียนบางคันด้วย ในขณะที่เจ้าของผับแห่งนี้ เพิ่งเปิดได้เพียง 4 เดือน และจะมีการขยายผลต่อว่า จะเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด ฟอกเงิน หรือไม่

...

นักท่องเที่ยวจีนมั่วยา ฉี่ม่วง ส่งตรวจเพิ่ม ดำเนินคดี 

จากเรื่องที่เกิดขึ้น ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ สอบถามเพิ่มเติมในประเด็นดังกล่าว กับ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง เปิดเผยว่า ชาวจีนที่ถูกจับกุมเมื่อเช้ามืดวันนี้ ส่วนใหญ่เข้ามาในวีซ่านักท่องเที่ยว หรือไม่ก็ใช้วิธี VISA on Arrival คือมาตรวจวีซ่าที่ตรวจคนเข้าเมือง

“การเข้ามา หากเอกสารครบหลักเกณฑ์ ทาง ตม. ก็อนุญาตให้เข้า แต่ถ้าเข้ามาแล้ว มาทำผิดกฎหมาย ก็จะถูกดำเนินการจับกุม และจากการตรวจสอบพบว่า มีนักท่องเที่ยว “ฉี่ม่วง” จำนวน 104 คน โดยจะมีการส่งตรวจอย่างละเอียดที่ รพ.ธัญญารักษ์ เพื่อหาว่าใช้ยาเสพติดประเภทใด ก็จะดำเนินคดีในข้อหานั้นๆ จากนั้น เมื่อดำเนินคดีแล้วเสร็จ ทาง ตม. อาจจะขึ้นเป็น “บัญชีต้องห้าม” ผลักดันออกจากราชอาณาจักรต่อไป”

เมื่อถามว่า กรณีที่เกิดขึ้น ถือเป็นขบวนการหรือไม่... พล.ต.ต.อาชยน ตอบว่า คดีนี้อาจจะแบ่งเป็น 2 ส่วน ในส่วน “เจ้าของ” ตำรวจนครบาลจะเป็นผู้ตรวจสอบขยายผล เพื่อหาตัว “นอมินี” หรือ เกี่ยวข้อง ซึ่งเวลานี้เชื่อว่ากำลังตรวจสอบอยู่ อีกส่วนคือ “นักท่องเที่ยว” ถ้าเกี่ยวข้องกับยาเสพติดก็ดำเนินการตามขั้นตอน ส่วนคนที่มาเที่ยวแล้วไม่มียาเสพติดในร่างกาย เราก็จะไม่ดำเนินคดี

ส่วนกรณี “รถหรู” เราก็ต้องตรวจสอบที่มาที่ไปให้ชัดเจน ซึ่งในประเด็นเหล่านี้ทุกเรื่องทางตำรวจต้องได้คำตอบให้กระจ่าง... รถมายังไง มีการกระทำผิดกับตัวรถไหม ทั้งการตรวจสอบทะเบียน รายชื่อเจ้าของ

ปัญหา "ทัวร์ศูนย์เหรียญ" และสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป 

เมื่อถามว่า อดีตเราเคยมีปัญหาเรื่อง “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” มาคราวนี้เกี่ยวข้องหรือไม่ ใช่ทัวร์ศูนย์เหรียญหรือไม่ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า เมื่อก่อนเรามีปัญหาจริงๆ แต่หลังจากเกิดโรคโควิด-19 ระบาด นักท่องเที่ยวมีการเปลี่ยนรูปแบบไปเยอะ

ปัจจุบัน เรามีการส่งเสริมการท่องเที่ยวด้วยกิจกรรมที่ถูกต้อง ฉะนั้น กิจกรรมการท่องเที่ยวก็เปลี่ยนไป บางคนมีไกด์ ก็มีแค่กลุ่มย่อย แต่ปัจจุบัน นักท่องเที่ยวที่มา เขามากันเอง ใช้แอปพลิเคชัน ในการนำทาง หาที่เที่ยว โรงแรมดีๆ ด้วยตัวเอง นอกจากนี้ ทางประเทศจีนก็ยังไม่ได้ปล่อยให้คนจีนเข้ามาในไทยเต็มที่ ซึ่งวิธีการเที่ยวได้เปลี่ยนไปจากเดิม

“การเที่ยวในลักษณะหลอกลวงแบบเมื่อก่อน สถานการณ์ดีขึ้นเยอะ การร้องเรียนแบบทัวร์ศูนย์เหรียญเมื่อก่อน ไม่มีแล้ว แต่หลังจากนี้ต่างหาก ที่ต้องทำการท่องเที่ยวในประเทศไทยอย่างถูกต้อง ไม่ถูกโกง หรือ ชี้นำให้ไปเกี่ยวข้องกับสถานที่ท่องเที่ยวที่ผิดกฎหมาย เราจะมีการตรวจสอบมากขึ้น”

ยังมีแหล่งทุนจีนมาลงทุน แล้วดึงแต่คนตัวเองมาเที่ยว เหมือนทัวร์ศูนย์เหรียญหรือไม่ พล.ต.ท.อาชยน ยืนยันว่า เปลี่ยนแปลงไปแล้ว แทบไม่เหลือแล้ว ส่วนหนึ่ง ที่ผ่านมา เรารับเรื่องร้องเรียนจากนักท่องเที่ยว ที่มาเที่ยวในประเทศไทย แล้วเจอลักษณะหลอกลวง หรือกลับประเทศไปแล้ว มีการร้องเรียนผ่านสถานทูตก็ตาม

“ช่วงโควิดที่ผ่านมา ทำให้บริษัททัวร์ได้รับผลกระทบ ซึ่งส่งผลต่อ ทัวร์ศูนย์เหรียญ ด้วย อีกทั้ง ลักษณะการท่องเที่ยวของผู้คนก็มีความเปลี่ยนไป ทำให้สถานการณ์ทัวร์ศูนย์เหรียญดีขึ้น ตอนนี้เอง ทางภาครัฐก็กำลังเร่งฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยว”

...

ส่วนกรณี การลักลอบเปิดสถานบันเทิง ประเด็นนี้ก็มีกฎหมายดูแลอยู่แล้ว ทั้งเรื่องการจำหน่ายสุรา การเปิดเกินเวลา ตรงนี้ทั้งตำรวจ และฝ่ายปกครองก็ช่วยกันดูแล มีอำนาจจับกุมกันอยู่แล้ว

“ส่วนปัญหายาเสพติด ถือเป็นนโยบายเร่งด่วนของ ผบ.ตร. (พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์) อยู่แล้ว โดยมีการป้องกันและปราบปรามในทุกมิติ อาทิ การสกัดกั้น ปราบปราม นำตัวผู้เสพไปรักษา ซึ่งเป็นนโยบายที่ทุกภาคส่วนของตำรวจ ในการปราบปรามจริงๆ” โฆษก สตช. กล่าวทิ้งท้าย


ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน

อ่านสกู๊ปที่น่าสนใจ