ถือเป็นเรื่องอุกอาจเป็นอย่างมาก สำหรับ แก๊งอาชญากรรมชาวต่างชาติมาก่อเหตุปล้นเงินสกุลดิจิทัล หรือ “คริปโตเคอร์เรนซี” กับหนุ่มสาวนักท่องเที่ยวรัสเซีย ที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ที่เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี
โดยมีกลุ่มชายฉกรรจ์ทั้งหมด 6 คน พยายามขู่กรรโชกเอาเงิน 3 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 112 ล้านบาท) แต่เวลานั้น นักท่องเที่ยวชาวรัสเซียได้โอนผ่าน แอป Bybit จำนวน 50,000 ดอลลาร์ (ราว 1.8 ล้านบาท) จากนั้นก็มีสายลึกลับ โทรผ่าน Telegram มาข่มขู่อีก
ต่อมา เจ้าหน้าที่ได้จับกุม 1 ใน 6 ผู้ต้องหาได้ คือ นายอันเดรย์ นิจโกรอดต์ อายุ 37 ปี สัญชาติคาซัคสถาน ที่บ้านพักใน จ.ชลบุรี ส่วนคนอื่นๆ ศาลได้ออกหมายจับแล้ว ได้แก่ นายซัลมาน อัลมาตี อายุ 56 ปี สัญชาติคาซัคสถาน หลบหนีออกนอกประเทศไป เมื่อวันที่ 17 ก.ย.65 นายชินกิส อัคมาโดฟ อายุ 39 ปี สัญชาติเยอรมัน หลบหนีออกไปเมื่อวันที่ 20 ก.ย.65 นายวลาดิมีร์ โอเรโคฟ อายุ 42 ปี สัญชาติรัสเซีย หลบหนี และอีก 2 คน ไม่ทราบชื่อและสัญชาติ อยู่ระหว่างการพิสูจน์เพื่อติดตามตัวมาดำเนินคดี
คดีนี้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ออกมาเปิดเผยว่า จากการตรวจสอบประวัติของนายอันเดรย์ พบว่าอยู่เมืองไทยมากว่า 20 ปี โดยตั้งรกรากอยู่ที่พัทยา เปิดให้เช่ารถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ให้กับกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวเยอรมันและคาซัคสถาน ทั้งนี้ บริษัทดังกล่าวมีคนไทยถือเป็นนอมินี ซึ่งอยู่ระหว่างเชิญตัวมาสอบสวนและเตรียมแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม ในข้อหาประกอบธุรกิจโดยไม่ได้รับอนุญาต
จากการสอบสวนเบื้องต้น พบว่าขบวนการนี้มีด้วยกัน 6 คน ทั้งหมดเป็นชาวต่างชาติ โดยเป็นชาวคาชัคสถานกับชาวเยอรมัน และมีการวางแผนกันเป็นอย่างดี รวมทั้งผู้เสียหายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและเป็นอินฟลูเอนเซอร์ และรู้จักกันมาก่อน ทำให้รู้ความเคลื่อนไหวของผู้เสียหายเป็นอย่างดี...
...
ไขปัญหา “มาเฟีย” ต่างชาติ ทำไมซุกตัวใน “พัทยา”
เกี่ยวกับมาเฟียต่างชาติ พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม. เล่าเบื้องหลังกับทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ให้ฟังว่า สาเหตุพัทยาและแหล่งท่องเที่ยว กลายเป็นสถานที่สร้างอิทธิพลให้กับกลุ่มคนต่างชาติ เพราะ...
1. เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของคนต่างชาติ และอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ เดินทางไม่นานก็ถึง
2. ในพื้นที่เหล่าคนต่างชาติที่เข้ามาจะไม่เป็นที่สังเกต ทำให้ดำเนินกิจกรรมต่างๆ ได้ง่าย และมีคนที่พูดและสื่อสารกันได้
3. หากมีปัญหา เช่น ตำรวจจะบุกตรวจค้น ก็สามารถโยกย้ายโซนหลบหนีได้ (พัทยาเหนือ-พัทยาใต้)
“ดังนั้นสถานที่นี้จึงเหมาะที่จะเป็น community หรือชุมชนที่ใช้รวมตัวกันของกลุ่ม “มิจฉาชีพ” ของประเทศต่างๆ ซึ่งความจริงมันกระจายอยู่ทั่วประเทศตามแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ”
พล.ต.ต.อาชยน กล่าวว่า คนต่างชาติไม่ว่าชาติไหน เมื่อมาอยู่นานก็มักจะสร้างเครือข่าย ก่อให้เกิดการรวมตัว สร้างผลประโยชน์ ด้วยการทำธุรกิจเป็นกลุ่มก้อน จนกลายเป็น “มาเฟีย” ด้วยการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ ทำผิดกฎหมาย เช่น การค้ายาเสพติด ขนของเถื่อน หนีภาษี โดยอาจจะทำธุรกิจถูกกฎหมายบางอย่างบังหน้า เช่น ร้านอาหาร เกสต์เฮาส์ มีหุ้นกับคนไทย
พัทยา ยังถือเป็นแดนสวรรค์ของมาเฟียรัสเซีย หรือไม่ ทีมข่าวยิงคำถาม รอง ผบช.สตม. ยืนยันว่าไม่ได้เป็นแบบนั้น เพียงแต่พัทยาเป็นเมืองที่เจริญ สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และยังถือเป็นหมุดหมายสำคัญ ของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมา ทำให้ง่ายต่อการกลมกลืน
จ้องปล้น “คนดังรัสเซีย” และเบื้องหลังคดี
เมื่อถามว่า กรณีที่มีการปล้นทรัพย์ หรือ ปล้นทรัพย์สินดิจิทัล คริปโตเคอร์เรนซี เคยเกิดขึ้นไหมในไทย พล.ต.ต.อาชยน ยอมรับว่า น้อยมาก หากมีการก่อเหตุมักจะเลือก “เหยื่อ” จากคนในชาติตัวเอง เช่นเดียวกับคดีนี้ที่มีคนรัสเซียร่วมแก๊ง
สาเหตุเพราะ... กลุ่มคนเหล่านี้ต้องรู้จักเหยื่อ มีการติดตามกันมาก่อน เขาจะรู้ว่า “เหยื่อ” คนนี้เป็นคนรวย หากมีการใช้กำลัง หรืออาวุธข่มขู่ก็จะได้ ยกตัวอย่างง่ายๆ คือ หากเราไปอยู่อเมริกา เราก็จะมีสังคมคนไทยในอเมริกา และรู้ความเคลื่อนไหว กรณีนักท่องเที่ยวรัสเซียคนดังกล่าวก็เช่นกัน เขาเป็นคนที่อยู่ในความสนใจของสังคมออนไลน์ เป็นที่รู้จักของหลายๆ คน ซึ่งถือเป็น “เป้าสว่าง” ที่คนชาติเดียวกัน หรือในสังคมใกล้กัน เขาจะเข้ามาหวังประโยชน์ต่อทรัพย์
...
เมื่อถามว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมีโอกาสตามทรัพย์สินคืนได้แค่ไหน รอง ผบช.สตม. กล่าวว่า หากเป็นเรื่องคริปโตฯ กฎหมายบางอย่างยังเอื้อมไปได้ยาก อย่างไรก็ดี คงต้องติดตามต่อไป เพราะโอกาสจับคนร้ายได้ยังมี เพราะกลุ่มคนเหล่านี้มีการเคลื่อนไหวบินเข้า-ออกประเทศ แต่ถ้าโอกาสได้เงินคืน คงยากหน่อย
สำหรับคนที่หลบหนีไปแล้ว ตามขั้นตอนเวลานี้ คือ มีการออกหมายจับแล้ว จากนั้นข้อมูลต่างๆ ก็จะลิงก์มายัง ตม. ดังนั้น หากพบว่ามีการเดินทางเข้าประเทศอีก ก็จะมีการดำเนินการตามกฎหมายไทย เพราะเขาก่อเหตุในประเทศไทย เมื่อมีการดำเนินคดีเสร็จสิ้น เช่น ศาลสั่งจำคุก ก็จะถูกจองจำในประเทศ เมื่อพ้นโทษก็จะมีการเนรเทศ ขี้นแบล็กลิสต์กันต่อ
ปัญหา “อาชญากรรมข้ามชาติ” ส่วนใหญ่ พุ่งเป้าประสงค์ต่อ “ทรัพย์”
นอกจากคดีปล้นคริปโตฯ แล้ว พล.ต.ต.อาชยน ยังเผยเบื้องหลังปัญหา “อาชญากรรม” ในประเทศไทย ที่ก่อเหตุโดยคนต่างชาติ มักประสงค์ต่อทรัพย์
ลักทรัพย์ในสนามบิน : กลุ่มโจรต่างชาติทางเอเชีย แอฟริกาใต้ จำนวนหนึ่ง จะเลือกขโมยทรัพย์สินที่สนามบิน เช่น ทรัพย์สินในกระเป๋าเดินทาง หากได้ทรัพย์สินก็จะเดินทางกลับประเทศตัวเองทันที
...
เจาะเซฟ ตระเวนลักทรัพย์ : บางกลุ่มจะเลือกลักทรัพย์ เจาะเซฟ ตระเวนไปหมู่บ้านจัดสรร แกล้งกดกริ่งบ้าน พบว่าไม่มีใครอยู่บ้าน ก็จะเข้าไปลักขโมยสิ่งของ เจาะเซฟ เมื่อได้ทรัพย์สินก็จะใช้วิธีส่งของกลับ
ฉกทรัพย์ : กลุ่มโจรที่มาจากประเทศเพื่อนบ้าน พวกนี้จะมีวิชา “มือเบา” ใช้วิชาลักทรัพย์เฉพาะตัว หรือใช้กลอุบายในการลักทรัพย์ โดยอาศัยตอนที่มีผู้คนหนาแน่น
ใช้เทคโนโลยี และ อินเทอร์เน็ต : กลุ่มที่ก่ออาชญากรรมที่ใช้เทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ต มักจะใช้วิธีการแอบตั้งฐานในประเทศในพื้นที่ลึกลับ มีคนไทยร่วมในขบวนการ แล้วตั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์, โรแมนซ์สแกม (ส่วนใหญ่เป็นคนผิวสี) หรือเปิดบ่อนออนไลน์ หากเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ก็จำเป็นต้องให้คนไทยเปิดบัญชี ซึ่งเวลานี้ ถือเป็นเรื่องที่ระบาดมากที่สุด
ต้องร่วมเป็นหูเป็นตา แก้ปัญหา
รอง ผบช.สตม. กล่าวในช่วงท้ายว่า ทาง สตม.มีข้อมูลการข่าวระดับหนึ่ง โดยมีรายชื่อว่า “ใคร..” ที่มีหมายแดง หรือหนีหมายจับ หรืออาจจะมีเจตนาเข้ามาก่ออาชญากรรมในบ้านเรา ด้วยการประสานข้อมูลนานาชาติ อย่างไรก็ตาม บางส่วนก็อาจจะหลุดรอดเข้ามา เช่น การหนีเข้ามาในประเทศไทย ก่อนที่จะถูกออกหมายจับ หรืออีกแบบคือ เคยมาเที่ยว แล้วมารวมตัวกันก่ออาชญากรรม ประเด็นเหล่านี้ สตม. ก็ได้พยายามสอดส่องอยู่ตลอด เพราะถือว่าเข้ามาเมืองไทยแล้วไม่ทำตามวัตถุประสงค์
...
ฉะนั้น สตม. จึงพยายามประสานงานกับภาคีเครือข่าย เช่น ที่พัก โรงแรม บ้านเช่า แหล่งกินเที่ยวต่างๆ ให้เข้าร่วมมาตรการเชิงรุก ด้วยการเป็นหูเป็นตาของประชาชน ก็จะสามารถช่วยลดอาชญากรรมได้
“ยกตัวอย่างที่มีพิรุธ เช่น มีชาวต่างชาติอยู่บ้านเดียวกัน 20-30 คน ไม่ออกไปไหน แบบนี้น่าสงสัยว่าจะเป็น แก๊งคอลเซ็นเตอร์, สกิมเมอร์ หรือคนต่างชาติ เข้าร้านวัสดุก่อสร้าง ซื้อคีม ค้อน ไขควง มีด...น่าสงสัยจะเป็นแก๊งโจร ตระเวนก่อเหตุงัดแงะหรือไม่.. หรือ ก่ออาชญากรรมร้ายแรงอื่นๆ เรื่องแบบนี้เป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องช่วยกัน” รอง ผบช.สตม. กล่าวทิ้งท้าย
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
อ่านสกู๊ปที่น่าสนใจ