ดราม่าไม่น่าจะจบลงง่ายๆ ภายหลังอดีตพระไพรวัลย์ วรรณบุตร หรือแพรรี่ ถูก ”พระชาตรี เหมพันธ์” เจ้าอาวาสวัดพุทธวิหาร นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ประเทศรัสเซีย กล่าวพาดพิงวิพากษ์วิจารณ์ใช้สรรพนามว่า ”อีแพรรี่” มีพฤติกรรมดิสเครดิตพระพุทธศาสนา และต่อมาอดีตพระไพรวัลย์ ได้โต้กลับอย่างดุเดือดใช้สรรพนาม ”ไอ้” เรียกพระชาตรี ว่าอย่าพาดพิง อยู่ดีๆ มาว่าทำไม และตอนที่เป็นพระได้รับใช้ศาสนาไม่น้อยไปกว่าพระชาตรี เช่นกัน
การปะทะระหว่างกันและมีตัวละครโผล่มาหลายคน ดูเหมือนจะพักยกไปแล้ว เมื่อพระชาตรี ได้โพสต์เฟซบุ๊กขอโทษอดีตพระไพววัลย์ หรือแพรรี่ หลังถูกแฉกลับ เพราะหากไม่หยุดจะมีการเปิดเผยข้อมูลลับของพระอลัชชีรายหนึ่งให้สังคมรับรู้ จากการอ้างของอดีตพระไพรวัลย์ และในเวลาต่อมาได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กว่า ได้รับข้อมูลที่เข้าข่ายขัดหลักศาสนาเป็นจำนวนมาก จากการประพฤติอนาจาร สร้างเรื่องสร้างราว

นอกจากนี้อดีตพระไพรวัลย์ หรือแพรรี่ อ้างว่าได้ข้อมูลสมัยอยู่วัดพุทธปัญญา เคยสั่งการให้ต่อยตีทำร้ายพระรูปอื่น พร้อมกล่าวหาว่ามีพฤติกรรมยักยอกเปลี่ยนถ่ายเงินในบัญชีสมัยเป็นรักษาการเจ้าอาวาส จนเงินหายไปจากบัญชี 4 ล้านกว่าบาท และมีเอกสารอยู่ที่สำนักงานเจ้าคณะตำบลบางเขน
...
ขณะที่พระชาตรี ยังไม่มีการเคลื่อนไหวตอบโต้ หรือมีคำชี้แจงใดๆ ออกมา แต่ชื่อของพระชาตรี ได้เป็นที่สนใจของสังคม ต่างมีการค้นหาข้อมูลถึงที่มาที่ไป ก่อนมาเป็นพระธรรมทูต เป็นพระที่มีชื่อเสียงในรัสเซีย และเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ตามคำกล่าวอ้าง โดยเฉพาะเคยเป็นอาจารย์สอนกรรมฐานให้กับวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำของรัสเซีย ในขณะที่ปูติน ดำรงตำแหน่งรองอธิการบดีฝ่ายต่างประเทศของมหาวิทยาลัยเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กอีกด้วย
ด้านอดีตนักศึกษาไทย มหาวิทยาลัยเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก รายหนึ่งระบุ การสร้างวัดไทยในรัสเซียของพระชาตรี ไม่ได้ถูกกีดกันใดๆ และพฤติกรรมที่ถูกแฉออกมาเป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น ซึ่งเป็นที่รู้กันของอดีตนักศึกษาไทยในรัสเซีย แต่สถานทูตไทยในรัสเซียในขณะนั้น ไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ เพราะเกรงว่าจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และกลายเป็นปัญหาใหญ่บานปลายไปกันใหญ่ ส่วนการอ้างว่าเคยสอนกรรมฐานให้กับปูติน ขณะเป็นรองอธิการบดีฝ่ายต่างประเทศของมหาวิทยาลัยเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ซึ่งพบว่าอยู่ช่วงระหว่างปี 2533-2534 แต่ขณะนั้นพระชาตรี ยังอยู่เมืองไทย ก่อนมาเรียนที่รัสเซียในปี 2540
คำกล่าวอ้างที่ว่าจบระดับด็อกเตอร์ได้ปริญญาสองใบ ไม่น่าเป็นไปได้เพราะจากข้อมูลพบว่า จบด็อกเตอร์จากมหาวิทยาลัยเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เพียงใบเดียวเท่านั้น และเป็นอาจารย์สอนภาษาไทย ในมหาวิทยาลัยเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก โดยไม่มีตำแหน่งใดๆ อีกเพิ่มเติม ซึ่งการกล่าวอ้างกับสื่อต่างๆ น่าจะมีความคลาดเคลื่อนไม่ตรงกับความจริงในบางส่วน

อีกมุมหนึ่งในความเห็นของ ”รศ.ดร.ธวัช หอมทวนลม” อดีตหัวหน้าภาควิชาปรัชญา คณะศาสนาและปรัชญา มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ยอมรับเคยรู้จักกับพระชาตรี เมื่อหลายปีก่อน ได้เล่าประวัติการจัดสร้างวัดในรัสเซีย ภายหลังหลวงพ่อปัญญา นันทภิกขุ ส่งไปเรียนจนจบการศึกษาระดับปริญญาเอก และต้องการเผยแผ่ศาสนา จึงใช้เงินทุนส่วนตัวจากการเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก และเงินบริจาคจากญาติโยมสร้างวัด เริ่มจากเช่าที่ดิน จนปัจจุบันสามารถซื้อที่ดินได้
“การสร้างวัดในต่างประเทศด้วยทุนส่วนตัว ส่วนใหญ่ทางสำนักพุทธศาสนาไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบได้ และพระชาตรี ไม่ถือเป็นพระธรรมทูต เพราะไปกันเองกับพระ 1 หรือ 2 รูปที่ติดตามไปด้วยในการเผยแผ่ศาสนา ต้องยอมรับเลยว่าหาคนแบบท่านไม่ได้ ซึ่งทำได้ดีมาก จนมีคนรัสเซียให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก ต้องจองกันล่วงหน้าเป็นปี เพื่อเรียนปฏิบัติธรรม และต้องจ่ายค่าธรรมเนียมอยู่แล้ว เพราะมีค่าใช้จ่ายค่าน้ำค่าไฟ”

กรณีมีผู้อ้างว่าพระชาตรี มีการกู้เงินญาติโยมนั้น เป็นเรื่องธรรมดาไม่เสียหายอะไรสำหรับพระไทยในต่างประเทศ เพราะต้องนำเงินมาพัฒนาวัด หากพระชาตรีไม่มีความน่าเชื่อถือ คงไม่มีใครให้ยืมเงินอย่างแน่นอน ส่วนประเด็นการตอบโต้กับอดีตพระไพรวัลย์ ก็เห็นด้วยว่าผู้เรียนจบเปรียญธรรม 9 ประโยค ไม่ควรทำภาพลักษณ์เสียหาย แม้สึกจากพระมาเป็นฆราวาส ก็ไม่ควรโจมตีคณะสงฆ์ เพราะอย่าลืมว่าพุทธศาสนาทำให้โตมาได้จนถึงวันนี้
...
ในส่วนข้อมูลจากหลายฝ่ายออกมากล่าวอ้างและแฉกลับพระชาตรี หากเป็นจริงก็น่าตกใจและแปลกใจว่าทำไมมีการออกมาเปิดเผยในเวลาเดียวกัน เพราะจากโปรไฟล์ประวัติต่างๆ ของพระชาตรี ได้สร้างความน่าเชื่อถือให้กับคนจำนวนไม่น้อย คงต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไปในหลายประเด็นว่าใครพูดจริง หรือกุเรื่องขึ้นมา.
เครดิตภาพ FB : Chatree Hemapandha , ไพรวัลย์ วรรณบุตร