เหตุน้ำท่วมเกาหลีอย่างหนัก กระจายเป็นวงกว้างหลายพื้นที่ในกรุงโซล เมืองหลวงของเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 8 ส.ค. 2565 ครั้งใหญ่สุดในรอบ 80 ปี มีการแชร์ภาพในโลกโซเชียล เห็นสภาพความเสียหายต้นไม้โค่นล้มไฟฟ้าดับ น้ำท่วมรถยนต์ที่จอดอยู่หลายคันบนท้องถนน และน้ำทะลักเข้าสถานีรถไฟใต้ดิน จนเกิดความชุลมุนวุ่นวายในการอพยพผู้คน ทางการเกาหลีใต้ได้ประกาศยกระดับภัยพิบัติจากระดับ 2 เป็นระดับ 3 และเพิ่มระดับเตือนภัยเป็นระดับร้ายแรง เบื้องต้นมีผู้เสียชีวิต 8 ศพ
สถานการณ์ฝนตกหนักในกรุงโซล มีปริมาณสะสมอยู่ที่ 400 กว่ามิลลิเมตร คาดว่าฝนจะตกหนักไปจนถึงวันที่ 10 ส.ค. 2565 ในพื้นที่ภาคกลาง และด้วยระบบบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพชั้นเยี่ยมติดอันดับโลกของเกาหลีใต้สามารถระบายน้ำได้ 137 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง หรือมากกว่ากรุงเทพฯ 2 เท่า ทำให้น้ำลดลงอย่างรวดเร็ว จนสถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว และหากปริมาณฝนห่าใหญ่ขนาดนี้ตกในกรุงเทพฯ เมืองหลวงของประเทศไทย จะเกิดอะไรขึ้น หรือจะอยู่ในสภาพจมบาดาลยาวนาน น้ำรอการระบาย แต่หวังว่าคงไม่เกิดขึ้น
...
แล้วกรุงเทพฯ จะรอดหรือไม่ หากเจอสถานการณ์ฝนเช่นเดียวกับเกาหลีใต้ “รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์” ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต ระบุจากเคยประเมินฝน 100 ปี มีปริมาณฝน 260 มิลลิเมตรต่อวัน ใกล้ตัวเข้ามาแล้ว ถามว่าหากเกิดขึ้นในกรุงเทพฯ จะทำอย่างไร และเหตุฝนตกหนักในกรุงโซลที่ผ่านมา ปริมาณฝน 280-430 มิลลิเมตรต่อวัน ซึ่งตัวเลขนี้หากเป็นกรุงเทพฯ ก็เท่ากับว่าเป็นฝน 2-3 พันปี จะทำให้กรุงเทพฯ จมบาดาล ไม่สามารถรับมือได้อย่างแน่นอน และต้องยอมรับว่าเรามีข้อจำกัดหลายอย่าง
ประเด็นแรกหากเทียบกับภูมิประเทศของกรุงโซล หรือโตเกียว เป็นพื้นที่ภูเขาและเป็นหินที่สูงกว่าน้ำทะเล ไม่มีผลกระทบต่อการระบายน้ำ แต่กรุงเทพฯ เป็นพื้นที่ลุ่มต่ำกว่านำ้ทะเล และประเด็นที่สองในเรื่องระบบเตือนภัยของเกาหลีใต้ มีการเตือนตั้งช่วงเย็น ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่รับรู้และมีการอพยพ จากภาพที่เห็นบริเวณรถไฟฟ้ามีคนน้อยมาก อาจเพราะมีการเตือนล่วงหน้า ขณะที่บ้านเราไม่ใช่ระบบเตือนภัยไม่ดี มีเรดาร์คาดการณ์ว่าฝนจะมาเมื่อใด แต่มีช่องว่างไม่สามารถบอกได้ว่าหากฝนตกหนักแล้วจะท่วมพื้นที่ใด ไม่สามารถบอกชาวบ้านได้ว่าฝนตกในเวลาใด ซึ่งแตกต่างกับเกาหลีใต้
“ประสิทธิภาพระบบระบายน้ำของเกาหลีใต้ ดีอยู่แล้ว ส่วนของบ้านเราไม่ทราบดีแค่ไหน ที่ผ่านมาฝน 10 ปีตก มีปริมาณ 150 มิลลิเมตร ใช้เวลาระบายน้ำนานประมาณ 5-6 ชั่วโมง หากเจอฝน 100 ปี คิดดูจะหนักขนาดไหน สังเกตเห็นว่าฝนตกในเกาหลีครั้งนี้ หนักมาก 400 กว่ามิลลิเมตร เมื่อหน้าฝนมาฝนก็จะตกแรง เพราะอุณหภูมิแถวนั้นสูงขึ้น 4-5 องศา จากเมื่อ 50 ปีก่อน หรือทุก 1 อุณหภูมิ ความชื้นก็จะเพิ่มขึ้นทำให้เกิดฝน ส่วนประเทศไทย อุณหภูมิเพิ่มขึ้น 2 องศา มีความชื้น 20% ทำให้ฝนตกหนักน้อยกว่าบ้านเขา แต่เราอยู่ในพื้นที่ลุ่มต่ำ ทำให้ความรุนแรงมากกว่า แค่ฝนตก 60 มิลลิเมตรต่อวัน ก็แย่แล้ว”
...
จากที่เคยประเมินว่า เดือนก.ย.-ต.ค.ปีนี้ จะเกิดฝนตกหนักมากกว่าปีที่แล้ว อยากให้ย้อนดูว่าปีที่แล้วเกิดอะไรขึ้นกับพื้นที่ภาคกลางและภาคเหนือ เคยได้รับผลกระทบหนัก เพราะฝนตกหนักในช่วงท้ายฤดูฝน แต่ปีนี้ฝนจะมีปริมาณมากกว่า เกรงว่าพื้นที่ภาคกลาง ตะวันออกเฉียงเหนือ และใต้ จะได้รับผลกระทบต่อจากพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งขณะนี้เกิดน้ำท่วมในหลายจังหวัด ย่ิงทำให้เกิดความกังวลว่ากรุงเทพฯ จะได้รับผลกระทบเช่นกัน จากปัญหาระบบท่อระบายน้ำมีขนาดเล็ก จะต้องขยายท่อให้ใหญ่ขึ้น แต่ขณะนี้มีความล่าช้าทำให้ไม่ทันกาล
“ตอนนี้คงทำได้แค่ขุดลอกท่อระบายน้ำเตรียมรับมือ ถ้าฝน 100 ปี มาตกช่วงเดือนต.ค. เราจะทำอย่างไร เพราะเราไม่รู้ว่าจะมาเมื่อใด รู้แต่ว่ามันใกล้ตัวมาแล้ว หากเกิดขึ้นในกรุงเทพฯ เหมือนในสมัยผู้ว่าฯ จำลอง ศรีเมือง เมื่อ 30 กว่าปีก่อน คงแย่แน่ๆ ไม่อยากนึกถึงสภาพที่จะเกิดขึ้น หวังว่าคงไม่เกิดขึ้นในปีนี้”.
...