เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. และถ้าไม่มีอะไรพลิกผัน “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ก็ส่อแววได้ชัย ตามหลายๆ โพล ที่มีการสำรวจก่อนหน้านี้ มีโอกาสเป็น ผู้ว่าฯ กทม. คนใหม่ ซึ่งผลการเลือกตั้งที่ออกมานั้น สะท้อนอะไรบ้าง ฝ่ายการเมืองแต่ละฝ่าย คิดเห็นหรือมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอย่างไร ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้พูดคุยกับ รศ.สุขุม นวลสกุล นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์และนักวิเคราะห์การเมืองไทย ได้มาวิเคราะห์กัน

อาจารย์สุขุม มองปรากฏการณ์การเลือกตั้งครั้งนี้ว่า แม้ผลเลือกตั้งที่ออกมาแล้วว่าใครมีโอกาสเป็นผู้ว่าฯ กทม. แต่สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งก็คือ ส.ก.เขต และคะแนนของ ผู้สมัคร ผู้ว่าฯ กทม. แต่ละฝ่าย ได้เท่าไร... โดยเราต้องเอาผลรวมของ “กลุ่ม” ที่อยู่ในแนวเดียวกัน คือ “ฝ่ายรัฐบาล” และ “ตรงข้ามรัฐบาล” มารวมผล เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้ถูกแบ่งออกเป็นหลายพรรค ไม่เหมือนการเลือกตั้งใหญ่ ที่เป็นพรรคต่อพรรค ชิงชัยกัน

...

เมื่อถามว่า ปัจจัยอะไรที่ทำให้คุณชัชชาติ มีโอกาสชนะมากกว่าคนอื่น กูรูการเมืองไทย ตอบว่า “ผมเชื่อว่ามาจากความตั้งใจ ที่เปิดตัวและดึงความสนใจได้ก่อนคนอื่น ทำให้ประชาชนบางส่วนตัดสินใจมาก่อนแล้ว ก่อนที่จะจับเบอร์กันด้วยซ้ำ ที่สำคัญ การเลือกตั้งครั้งนี้ สื่อเองก็ทำการจัดดีเบต ทำให้คนรู้จักตัวผู้สมัครมากขึ้น จึงทำให้เกิดการตัดสินใจ “เลือก” ด้วยตัวเอง เพราะได้ยินนโยบาย ได้เห็นภาพลักษณ์ ทำให้ไม่เลือกตามคนอื่น ไม่จำเป็นต้องรอให้กุนซือ ออกมาชี้นำ อย่างที่ผ่านมา

“ผลที่ออกมา คะแนนฝ่ายรัฐบาล กับฝ่ายตรงข้ามแตกต่างกันแค่ไหน แพ้ชนะกันมากน้อยแค่ไหน ถ้าฝ่ายไหนชนะ ก็อาจจะส่งผลให้เห็น “เค้าลาง” ถึงการเลือกตั้ง ส.ส. ครั้งหน้า ว่าคนกรุงเทพฯ “เอา” หรือ “ไม่เอา” รัฐบาลปัจจุบัน”

ถึงแม้คุณ “ชัชชาติ” ชนะการเลือกตั้งวันนี้ แต่...หากเมื่อดูผลรวมคะแนน ผู้สมัครในขั้วรัฐบาล แล้วมากกว่าฝ่าย “ไม่เอารัฐบาล” ถ้าผลออกมาเป็นแบบนี้ แสดงว่า “ขั้วฝ่ายรัฐบาล” เองก็ยังรู้สึกว่า น่าจะยังมีความหวัง แต่ถ้ากลับกัน หากคะแนนของ “ชัชชาติ” รวมกับ “วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” และ “ศิธา ทิวารี” ชนะขั้วรัฐบาลที่ลงสมัคร 4 คน

การเป็นผู้สมัครอิสระ จะส่งผลต่อการทำงานหรือไม่ เพราะไม่มีทีม ส.ก. อาจารย์สุขุม กล่าวอย่างหนักแน่น คุณชัชชาติ เขาเลือกที่จะสมัครคนเดียว ต้องมั่นใจในเรื่องนี้อยู่แล้วว่าไม่มีปัญหา ที่สำคัญ การมาคนเดียวแบบนี้ ถือเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนที่เคยสนับสนุนพรรคอื่น เลือกเขาได้ด้วย เช่น คนที่ชอบก้าวไกล มองว่า โอกาสครั้งนี้เป็นของ “ชัชชาติ” เขาอาจจะเลือก “ชัชชาติ” เป็นผู้ว่าฯ แต่เลือก ส.ก.เป็นคนอื่น

หาก “วิโรจน์” ได้อันดับ 2 หรือ 3 ก็จะเป็นการสะท้อนภาพให้เห็นว่า คนอื่นๆ ก็มีโอกาสที่จะลงเลือกตั้ง เข้าแข่งขันได้ เรียกว่า “ต่อสู้” อย่างแท้จริง คนก็จะไม่ทิ้ง...เพราะการพ่ายแพ้ มีหลายแบบ แพ้อย่างสง่างาม หรือแพ้แบบไม่มีหูรูด

สำหรับ คุณอัศวิน หากคะแนนมาเป็นอันดับ 2 ก็ถือว่า ทำได้ “ยอดเยี่ยม” แล้ว เพราะเขาเองก็มีคะแนนสนับสนุนตามคาดหมาย ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ก็จะเข้าทางรัฐบาล เขาก็สามารถประโคมได้ว่า คนกรุงเทพฯ ยังอยู่ฝ่ายรัฐบาลเยอะ กลับกัน หากคุณอัศวิน ถูกทิ้งกลายเป็นที่ 4-5 รัฐบาลก็จบเลย...

...

ขณะที่ ดร.เอ้ สุชัชวีร์ การเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ของยี่ห้อ “ประชาธิปัตย์” ถ้า ดร.เอ้ มีคะแนนดี ก็จะทำให้เห็นว่า “ฟื้นแล้ว” หมายความว่า ดร.เอ้ ต้องได้คะแนนอยู่ในอันดับที่น่าพอใจ เช่น ที่ 2 หรือ 3 หรือได้เก้าอี้ ส.ก. บ้าง ไม่ใช่เหมือนเลือกตั้ง ส.ส. ที่ไม่ได้เลย ซึ่ง ปชป. เขาก็เชื่อว่า เขาน่าจะได้ ส.ก.บ้าง แต่ถ้าได้ ส.ก. หลายเขต เขาก็จะคุยได้ว่า “เห็นไหม..ฟื้นแล้ว”

แต่ ส.ก. มันแตกต่างจาก ส.ส. มาก จะเอามาเทียบได้หรือ อาจารย์สุขุม กล่าวว่า แม้จะแตกต่าง แต่เวลาคุย เขาก็เอามาพูดได้ ถึงแม้หน้าที่ต่างกัน บริบทต่างกัน แต่ในทางการเมืองเขาวิเคราะห์แบบเหมารวม

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน

อ่านสกู๊ปที่น่าสนใจ 

...