“คุณมองดูทีมในวันนี้สิ ไม่มีหัวใจ ไม่มีจิตวิญญาณ ไม่มีผู้นำ และไร้ซึ่งคุณภาพอย่างแท้จริง ช่างน่าเศร้ามากที่ได้เห็น มันไม่ได้สะท้อนในสิ่งที่สโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เคยยืนหยัด เมื่อครั้งที่ผมเคยลงเล่นให้ มันช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่ยูไนเต็ด เคยมีอยู่เสมอมา คือ คาแรกเตอร์ที่ยอดเยี่ยม ผู้ชายที่ยอดเยี่ยม คนที่คุณอยากจะร่วมงานด้วย คนที่คุณอยากอยู่ด้วยในสนามเพลาะด้วยกัน

ไบรอัน ร็อบสัน, สตีฟ บรูซ, แกรี พัลลิสเตอร์, เดวิด เบคแคม, ไรอัน กิกส์ , นิกกี บัตต์, พวกเขาทั้งหมดนี้ยอดเยี่ยมมาก เราอาจไม่ชนะได้ในทุกสัปดาห์ แต่พวกเราจะทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างที่มีให้กับสโมสรแห่งนี้ นั่นคือสิ่งที่ พวกเราคาดหวัง และหวังว่าพรสวรรค์ของเรา จะพาพวกเราข้ามเส้น และกลายเป็นผู้ชนะในแมตช์ที่ต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบาก

ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนว่า มีนักเตะจำนวนมากต้องการจะย้ายออกจากยูไนเต็ด เพราะตอนที่ผมยังเล่นอยู่ มีแต่คนกลัวว่าจะถูกขายหรือต้องย้ายออกไป แต่ในเวลานี้กลับมีนักเตะ 6-7 คน ที่แสดงออกในเวลาลงเตะมากเสียเหลือเกินว่าอยากจะย้ายออกไป แต่น่าเสียดายที่คนพวกนี้ดันไม่ย้ายออกไปสักที”

รอย คีน อดีตกัปตันทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

“แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อยู่ห่างจาก ลิเวอร์พูล เป็นล้านไมล์ ในทุกๆ องคาพยพ ไม่ว่าจะทั้งในหรือนอกสนาม จุดที่เราอยู่ ณ วันนี้ ถือเป็นจุดที่ตกต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ ตลอดระยะเวลากว่า 42 ปี ที่ผมเคยพบเห็นยูไนเต็ดเป็นต้นมา ผมไม่เคยต้องเผชิญอะไรที่มันย่ำแย่แบบนี้มาก่อน"

แกรี เนวิลล์ อดีตนักเตะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

...

2 นักเตะผู้เป็นสัญลักษณ์ความภาคภูมิแห่งยุคเรืองรองของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หล่นวาทะแสดงความเหลืออดที่มีต่อนักเตะรุ่นน้อง หลังบังอาจแสดงความน่าอับอายขายหน้าให้กับเหล่าพลพรรคแมนคูเนียน ด้วยความปราชัยให้กับคู่ปรับตลอดกาล อย่าง หงส์แดงตะแคงฟ้า ไปอย่างชนิด ไร้วี่แววเสียงโจษจันที่เคยอื้ออึงมาตลอดว่า นี่มันคือ “ศึกวันแดงเดือด” บนเมืองผู้ดี มิใช่หรือ?

ในค่ำคืนแห่งความสยดสยอง ณ ถิ่นแอนฟิลด์ มันเกิดอะไรขึ้นกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จนกระทั่งทำให้ กัปตันจอมดีเดือดอย่าง “คีโน” และ แบ็กจอมเกรียนอย่าง “แกรี” อดีต 2 อริราชศัตรูสำคัญของเหล่าเดอะค็อป สิ้นความอดทนต่อเหล่านักเตะยูไนเต็ดในยุค 2022 กันล่ะ?

บางทีตัวเลขเหล่านี้ อาจคือ “คำตอบ” ที่ว่านั้น!

สัญญาณสู่ความหายนะตั้งแต่ครึ่งแรก :

นอกจากจะได้ถึง 2 ประตูแล้ว บางทีในช่วง 45 นาทีแรก “อลิสสัน เบคเกอร์” นายทวารของหงส์แดง อาจไม่จำเป็นต้องลงสนามในช่วงครึ่งแรกก็เป็นได้ เพราะ “ไม่มีแม้แต่สักครั้งเดียว” ที่ 3 นักเตะแนวรุกของปิศาจแดง มาร์คัส แรชฟอร์ด , แอนโธนีย์ อีลังกา, บรูโน เฟอร์นันเดส จะมีโอกาสได้ง้างเท้ายิงประตู

นอกจากนี้ ในช่วงครึ่งแรก นักเตะยูไนเต็ดมีสถิติการครองบอลเพียง 24.5% แถมยังมีโอกาสได้สัมผัสบอลเพียง 2 ครั้งเท่านั้นในกรอบเขตโทษของลิเวอร์พูล ในขณะที่ฝ่ายเครื่องจักรสีแดงสามารถทำได้ถึง 23 ครั้ง แถมในจำนวนนี้ เป็นการสัมผัสบอลในกรอบเขตโทษของมิดฟิลด์ผู้ทำหน้าที่ปัดกวาดหน้าแผงกองหลังอย่าง “ฟาบินโญ” ถึง 3 ครั้ง (แถมยังมีโอกาสยิงอีก 1 ครั้งในครึ่งแรก) ซึ่งมากกว่าที่ 3 สหายของยูไนเต็ด ทำได้รวมกันในครึ่งแรกเสียอีก

แต่ที่ร้ายไปกว่านั้น คือ ตลอด 45 นาทีแรก 11 นักเตะของยูไนเต็ด สามารถผ่านบอลสำเร็จได้รวมกันเพียง 92 ครั้ง (ลิเวอร์พูล มากกว่า 300 ครั้ง) และในจำนวนนี้มีเพียง 7 ครั้งเท่านั้น ที่เป็นการจ่ายบอลเข้าสู่พื้นที่สุดท้าย!

สถิติการครองบอลที่สุดเลวร้าย :

ตลอด 90+3 นาที สำหรับการทดเวลาบาดเจ็บ 11 นักเตะแมนยูฯ สามารถครอบครองบอลได้เพียง 28.4% ซึ่งถือเป็นสถิติการครองบอลที่ต่ำที่สุด เป็นลำดับที่ 4 ของสโมสร จาก 6 ฤดูกาลหลังสุด และยังถือเป็นสถิติการครองบอลที่ต่ำกว่า แมตช์อัปยศ 0-5 ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด ก่อนหน้านี้เสียอีก โดยในครั้งนั้น แมนยูฯ มีสถิติการครองบอล 37% ลิเวอร์พูล 63%

...

การเคลื่อนที่และการจ่ายบอลที่แตกต่าง :

การ Pass and Move ที่นำไปสู่ประตูที่ 2 สุดสวยของ “โมฮาเหม็ด ซาลาห์” ในครึ่งแรกเป็นการจ่ายบอลถึง 22 ครั้งภายในระยะเวลา 77 วินาที และมีเพียง “เวอร์จิล ฟานไดจ์” นายใหญ่ในแผงหลังของ "หงส์แดง" คนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้สัมผัสบอล และนักเตะแมนยูฯ หาบอลไม่เจอ

"ติอาโก อัลคันทารา" หนึ่งในคีย์แมนคนสำคัญของหงส์แดงตะแคงฟ้าในนัดนี้ จ่ายบอลสำเร็จในนัดนี้ 105 ครั้ง (เวอร์จิล ฟานไดค์ 106 ครั้ง) ซึ่งมากกว่า นักเตะปิศาจแดงที่ทำได้มากสุดคือ "เนมันยา มาติช" ที่ทำได้เพียง 33 ครั้ง

ขณะที่จำนวนการสัมผัสบอล "ติอาโก อัลคันทารา" ยังทำได้มากถึง 132 ครั้ง ในขณะที่ผู้เล่นแมนยูฯ ที่สัมผัสบอลมากที่สุดของ แมนยูฯ คือ "บรูโน เฟอร์นันเดส" ทำได้เพียง 61 ครั้งเท่านั้น

ส่วนการจ่ายบอลสำเร็จตลอดทั้งเกม แมนยูฯทำได้ 258 ครั้ง (จากการส่งบอลทั้งหมด 354 ครั้ง) ในขณะที่ ลิเวอร์พูลทำได้ถึง 816 ครั้ง (จากการส่งบอลทั้งหมด 897 ครั้ง)

ส่วนโอกาสในการยิงประตู ลูกทีมของ "ราล์ฟ รังนิก" ทำได้เพียง 2 ครั้ง (เข้ากรอบประตู 1 ครั้ง) ตลอดทั้งเกม แต่ฝ่ายลิเวอร์พูล ทำได้ถึง 14 ครั้ง (เข้ากรอบ 5 ครั้ง)

...

หายนะการเสียถึง 9 ประตูให้กับทีมเดียวในหนึ่งฤดูกาล :

2 นัดเหย้า-เยือนในฤดูกาลนี้ (2021-22) ยูไนเต็ด ถูก ลิเวอร์พูลถลุงประตูไปรวมกันถึง 9 ประตูต่อ 0 นั้น คือจำนวนการเสียประตูที่มากที่สุดให้กับทีมเดียวนับตั้งแต่ลงเล่นในพรีเมียร์ลีกเป็นต้นมา และเป็นจำนวนประตูที่เสียให้กับ “หงส์แดง” มากกว่าการเจอกันรวม 14 นัดในพรีเมียร์ ในช่วง 7 ฤดูกาล ที่ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน คุมปิศาจแดงระหว่างปี 2001-2008 อีกด้วย!

ขณะเดียวกันจำนวนรวม 9 ประตู ที่ ลิเวอร์พูล ได้จาก แมนยูฯ นี้ คิดเป็นสัดส่วนที่สูงถึง 10.84 % ของจำนวนประตูทั้งหมดที่หงส์แดงยิงได้ในฤดูกาลนี้อีกด้วย (ล่าสุด จาก 32 นัดในพรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูลยิงประตูได้รวมกันแล้ว 83 ประตู)

และ...ลิเวอร์พูล ไม่แพ้ แมนยูฯ ในลีกมา 8 นัดติดต่อกันเข้าให้แล้ว (ชนะ 5 นัด เสมอ 3 นัด) และชัยชนะแบบไป-กลับ (เหย้า-เยือน) เหนือปิศาจแดงครั้งล่าสุดนี้ ยังถือเป็นครั้งที่ 3 ที่ลิเวอร์พูลสามารถทำได้ต่อจาก 2 ครั้งแรกใน ฤดูกาล 2001-01 และ 2013-14 ด้วย

...

ชายที่ชื่อ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ :

หลังกด 2 ประตูในนัดนี้ ทำให้ ราชันแห่งอียิปต์ กลายเป็นผู้เล่นคนแรกในประวัติศาสตร์ของพรีเมียร์ลีกที่ทำสกอร์ได้ถึง 5 ลูก ในการลงเล่นกับ “ยูไนเต็ด” ในฤดูกาลเดียว

นอกจากนี้ “ซาลาห์” ยังเป็นผู้เล่นคนที่ 2 ในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกต่อจาก "เมซุต โอซิล" อดีตจอมทัพของอาร์เซนอล (2015-16) ที่ทั้งยิงประตูและแอสซิสต์ได้ ทั้งในเกมเหย้าและเยือน แมนยูฯ ในฤดูกาลเดียว

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน

กราฟิก : Sathit chuephanngam

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :