“สงครามยังไม่สงบ อย่าเพิ่งนับศพทหาร”
วลีดังกล่าว ติดหูคนไทยมาอย่างยาวนาน และวันนี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เข้ากับสถานการณ์สงคราม ยูเครน-รัสเซีย ที่นอกจากผู้เสียชีวิตในสนามรบ รวมถึงพลเรือนที่ได้รับลูกหลงจากความขัดแย้งนี้ ยังมีผลกระทบด้านอื่นๆ ที่ทั่วโลกต้องเผชิญ อาทิ วิกฤติด้าน “พลังงาน” ที่คนใช้รถใช้ถนนกำลังอ่วมหนัก โดยเฉพาะภาคขนส่ง ยังรวมไปถึงภาคการท่องเที่ยว ที่ประเทศรัสเซีย ถือเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มหลัก 1 ใน 4 ที่เดินทางมาเที่ยวในประเทศไทย และได้ผลกระทบจากมาตรการ “คว่ำบาตร” ที่ส่งผลกระทบต่อค่าเงิน “รูเบิล” ของรัสเซีย
นายศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจท่องเที่ยว เผยว่า ตอนนี้นักท่องเที่ยวยูเครนไม่มีมาอีกเลย และมีติดอยู่ในประเทศไทยราว 1,000 คน ในขณะที่นักท่องเที่ยวรัสเซียลดลง เขายังเดินทางมาประเทศไทยได้ ด้วยการต่อเครื่องจากประเทศอื่นๆ แต่...ปัญหาคือค่าเงิน “รูเบิล” ของประเทศรัสเซีย ลดลงอย่างหนักจากการลงโทษ คว่ำบาตรจากหลายประเทศทั่วโลก ดังนั้น เขาจึงเลือกที่จะไม่ท่องเที่ยวตอนนี้ ยกเว้นคนที่ “เงินเหลือ” จริงๆ
“ตั้งแต่เกิดสงคราม นักท่องเที่ยวมาไทยน้อยลง ยูเครนหยุดชะงัก หรือแม้แต่นักท่องเที่ยวชาวยุโรปเอง ก็เดินทางท่องเที่ยวน้อยลงด้วย เนื่องจากช่วงนี้ไม่ใช่ฤดูกาลท่องเที่ยว ซึ่งก่อนหน้านี้ ปี 2019 มีนักท่องเที่ยวรัสเซียเดินทางมาเที่ยวในเมืองไทยถึง 1.5 ล้านคน เฉลี่ยแต่ละเดือน เข้ามาเป็นแสนคน พอโควิดระบาดก็ลดลง แต่ก็ยังมีนักท่องเที่ยวมาไทยเป็นอันดับ 4”
...
การช่วยเหลือ นักท่องเที่ยว รัสเซีย-ยูเครน
นายศิษฎิวัชร เผยว่า เท่าที่ทราบมีการเสนอให้ทางคณะรัฐมนตรี พิจารณาช่วยเหลือ ด้วยการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า โดยเฉพาะการยื่นต่ออายุวีซ่า เพราะนักท่องเที่ยวอยู่ในประเทศไทยได้แค่ 30 วัน ตรงนี้ต้องช่วยเหลือ เพราะคนยูเครนไม่สามารถกลับประเทศได้ ส่วนคนรัสเซีย เราพบว่าไม่มีปัญหาแต่อย่างใด เพราะประเทศเขาไม่ได้เกิดสงคราม เขาสามารถเดินทางกลับประเทศได้ ถึงแม้จะไม่มีสายการบินตรง แต่เขาสามารถบินต่อกลับประเทศได้ ซึ่งที่ผ่านมา ผู้ประกอบการ รวมไปถึง ททท. ก็ช่วยเหลืออยู่
“คนยูเครนที่อยู่ในไทยเวลานี้ เขากลับประเทศไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงินทอง ฉะนั้น ถามว่าเดือดร้อนไหม คำตอบคือ ยังไม่มี เพราะคนของเขายังไม่โดนบอยคอต”
สอดคล้องกับ พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม. เผยกับทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ว่า ไม่ว่าเชื้อชาติไหน หากเข้ามาในประเทศไทยแล้วกลับไม่ได้ ไม่ว่าสาเหตุใด เช่น น่านฟ้าปิด เครื่องบินไม่บิน เราจะมีการอำนวยความสะดวกในเรื่องต่างๆ ที่ทาง ตม. พอออกมาตรการช่วยเหลือให้ได้ ซึ่งถือเป็นการช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมและกฎหมาย เพื่อไม่ให้เขาอยู่ในประเทศเกินเวลา
ดังนั้น หากคนต่างชาติเข้ามาอยู่ในประเทศไทย และใกล้เวลาที่จะอยู่เกินกว่ากฎหมายกำหนด ก็ให้เข้ามาติดต่อใน ตม. ซึ่งมีอยู่ทุกจังหวัด เพื่อพิจารณาช่วยเหลือตามความเป็นจำเป็น
“เรื่องที่เกิดขึ้น ใช่ว่าจะมีแต่ประเด็นสงคราม แต่ที่ผ่านมา ก็เคยมีลักษณะ มาเที่ยวในเมืองไทย แล้วประสบอุบัติเหตุได้รับบาดเจ็บ เราก็พิจารณาต่ออายุให้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว หากคนไหนประเทศไหนมีปัญหา เขาก็จะวิ่งไปหาสถานทูตประเทศนั้นๆ ก่อน ส่วนถามว่า ตอนนี้มีประเทศไหน ขอความช่วยเหลือ กลับประเทศไม่ได้ บอกตรงๆ ว่าตอนนี้ไม่มีการร้องขอให้ช่วยในประเด็นเหล่านี้”
เมื่อถามว่า นักท่องเที่ยวรัสเซียที่อยู่ในประเทศไทย ทั้งหมดเท่าไร พล.ต.ต.อาชยน เผยว่าราว 1 หมื่นกว่าคน ขณะที่ยูเครนประมาณ 1 พันคน เท่านั้น
โควิด-19 ยังเป็นปัจจัยหลักกระทบท่องเที่ยว
เมื่อถามว่า ผลระยะยาวที่ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว นายกสมาคมไทยธุรกิจท่องเที่ยว ก็ยังมองว่าเป็นเรื่องโควิด-19 ที่ทุกประเทศต่างใช้มาตรการที่ค่อนข้างระมัดระวัง บางประเทศยังเลือกที่จะไม่เปิดให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวได้อย่างสะดวก เช่น จีน นักท่องเที่ยวหายไปเยอะ ขณะที่ นักท่องเที่ยวรัสเซียหายไปเกือบครึ่ง โดยในปี 2019 ก่อนเกิดโควิดระบาด มีนักท่องเที่ยวรัสเซียมาไทยถึง 1.5 ล้านคน ถือว่าเยอะ เฉลี่ยแต่ละเดือน เข้ามาเป็นแสนคน
...
โควิด...โรคประจำถิ่น ใช่ว่าจะมีคนแห่มาเที่ยว
เมื่อถามว่ารัฐบาล ตอนนี้เริ่มมีมาตรการให้โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น นายศิษฎิวัชร กล่าวว่า เขาคงกำลังพิจารณาอยู่ ซึ่งตัวเลขที่สำคัญที่สุด คือ อัตราการเสียชีวิตของคนป่วย หากตัวเลขยังสูงอยู่ก็เชื่อว่าทำได้ยาก
“การวางแผนไปก่อนก็ดี แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ซึ่งคงขึ้นอยู่กับทางผู้เชี่ยวชาญและคุณหมอ หากมีการผ่อนมาตรการลง ก็เชื่อว่า นักท่องเที่ยวก็คงยังไม่กลับมามากดังเช่นปีก่อนๆ เกิดโควิด เพราะหลายชาติตอนนี้ก็กำลังเผชิญกับความยากลำบาก เจ็บมาเหมือนกัน ยกตัวอย่าง ประเทศเกาหลีใต้ ประเทศเขาแรกๆ ติดน้อย กลับไปไม่ต้องกักตัว แต่เวลานี้ ถ้าจะมาเที่ยวเมืองไทย กลับประเทศเขาก็ต้องกักตัว เสียเวลา เสียงาน เขาก็คิดว่าการไปเที่ยวสนุก แต่มาเจอกักตัว 14 วันกลับมาก็ไม่สนุกแล้ว”
ปีนี้ไม่ได้คาดหวังอะไร เราคาดหวังว่า ตัวเลขโควิดจะต่ำลง เชื่อว่า ความหวังนี้เป็นความหวังของคนทั่วโลก และหากกลายเป็นโรคประจำถิ่น ต้องออกกฎที่สากลทั่วโลกยอมรับได้ และก็ขึ้นอยู่กับประเทศต่างๆ ด้วย โดยเฉพาะจีน ที่ก่อนหน้านี้มีนักท่องเที่ยวทั่วโลกเดินทางกว่า 39 ล้านคน แค่จีนประเทศเดียวก็ 10 กว่าล้าน สิงคโปร์ เคยมาเป็นล้านคน วันนี้แทบไม่ได้มา
...
ตลาดใหม่ที่เป็นความหวัง... ตอนนี้มองไปที่ซาอุดีอาระเบีย รัฐน่าจะส่งเสริมการท่องเที่ยวมากขึ้น เวลานี้กลุ่มท่องเที่ยวกำลังหารือกันอยู่ แต่ทุกอย่างต้องค่อยเป็นค่อยไป การทูต...ต้องเดินหน้าให้เรียบร้อยจริงๆ
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
กราฟิก : sathit chuephanngam
อ่านสกู๊ปที่น่าสนใจ