11 มี.ค. 2020 คือ วันที่องค์กรอนามัยโลก หรือ WHO ประกาศให้ โรคโควิด-19 เป็น "การระบาดใหญ่ (Pendemic)" หลังพบผู้ติดเชื้อใน 118 ประเทศและดินแดนทั่วโลกภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน หลังพบผู้ติดเชื้อคนแรกของโลกที่เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ในเดือนธันวาคม 2019 นั่นเท่ากับว่า ตัดภาพมาถึงวันที่ 11 มี.ค. 2020 ชาวโลกได้อยู่ร่วมกับโควิด-19 มาครบ 2 ปีเต็มเข้าให้แล้ว
ระหว่าง 2 ปี อันยาวนานที่ทำให้มนุษยชาติทั้งต้องสูญเสีย เจ็บปวด และจำเป็นต้องห่างไกลกันอย่างชนิดไม่เคยปรากฏมาก่อน ล่าสุด ก้าวย่างของมนุษยชาติอยู่ ณ จุดใดของการสิ้นสุดกันแล้ว...
สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ในวันครบรอบ 2 ปี
จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมทั่วโลก : 453,925,620 คน
จำนวนรวมผู้ติดเชื้อในรอบ 28 วัน : 47,181,305 คน
...
จำนวนผู้เสียชีวิตสะสมทั่วโลก : 6,032,429 ศพ
จำนวนรวมผู้เสียชีวิตในรอบ 28 วัน : 238,018 ศพ
จำนวนการฉีดวัคซีนรวม : 10,664,892,901 โดส
จำนวนการฉีดวัคซีนในรอบ 28 วัน : 499,438,002 โดส
ประเทศที่มีผู้ติดเชื้อและมีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุดในรอบ 28 วัน
เยอรมนี จำนวนผู้ติดเชื้อ 4,746,018 คน จำนวนผู้เสียชีวิต 5,591 ศพ
จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมรวมทั้งหมด 16,850,619 คน
จำนวนผู้เสียชีวิตสะสมรวมทั้งหมด 125,337 ศพ
หมายเหตุ อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์มหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ (Johns Hopkins University) สิ้นสุดวันที่ 11 มี.ค. 2022
รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ล่าสุดจาก WHO :
จากข้อมูลอัปเดตด้านระบาดวิทยาโควิด-19 รายสัปดาห์ ระหว่างวันที่ 19 ก.พ.-8 มี.ค. 2022 ของ WHO
ระบุว่า จำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 รายใหม่ทั่วโลกลดลงอย่างต่อเนื่องในสัดส่วน 5% และ 8% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้านี้ โดยมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่มากกว่า 10 ล้านคนทั่วโลก และผู้เสียชีวิตมากกว่า 52,000 ศพ
โดย ณ วันที่ 6 มี.ค.2022 มีผู้ติดเชื้อสะสมที่ได้รับการยืนยันแล้วมากกว่า 433 ล้านคน และเสียชีวิตสะสมมากกว่า 5,900,000 ศพ ทั่วโลก
โดยภูมิภาคเอเชียตะวันออก กลายเป็นภูมิภาคที่มีรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ในรอบสัปดาห์เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 46% เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า ซึ่งส่วนทางกับภูมิภาคอื่นๆ ในโลกที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยตะวันออกกลาง ลดลง 46% แอฟริกา ลดลง 40% เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ลดลง 31% อเมริกา ลดลง 24% และ ยุโรป ลดลง 18%
ด้านจำนวนผู้เสียชีวิตในรอบสัปดาห์ นั้น ภูมิภาคเอเชียตะวันออก มีรายงานผู้เสียชีวิตในรอบสัปดาห์เพิ่มขึ้นถึง 29% เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า ส่วนภูมิภาคตะวันออกกลาง สถานการณ์เริ่มทรงตัว หลังจำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 2% ส่วนแอฟริกา ลดลง 39% ยุโรป ลดลง 15% อเมริกา ลดลง 9% และ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ลดลง 3%
อย่างไรก็ดี WHO ได้ตั้งข้อสังเกตในประเด็นแนวโน้มการติดเชื้อโควิด-19 ที่เริ่มลดลงในหลายภูมิภาคของโลกว่า ควรมีการตีความด้วยความระมัดระวังเนื่องจากหลายประเทศใช้กลยุทธ์การทดสอบแบบกำหนดเป้าหมาย ซึ่งอาจทำให้ภาพรวมการติดเชื้อต่ำกว่าความเป็นจริง
...
2 ปีที่ผ่านมา มนุษยชาติอยู่จุดใดของการสิ้นสุด
ความคืบหน้า...
การเรียนรู้และวิธีการที่หลากหลายเพื่ออยู่ร่วมกับโควิด-19 :
การแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นตัวเร่งให้เกิดการกลายพันธุ์ของไวรัส ทำให้รัฐบาลหลายประเทศเริ่มเรียนรู้และมองหาวิธีที่แตกต่างกันเพื่อให้พลเมืองสามารถอยู่ร่วมกับโควิด-19 ให้ได้ เช่น การเลือกใช้มาตรการล็อกดาวน์บางส่วน, พาสปอร์ตวัคซีน, รวมถึงการผ่อนปรนมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมต่างๆ เมื่อจำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศลดลง เพื่อผ่อนคลายเครียดและความเหนื่อยล้าให้กับประชาชน
ความก้าวหน้าของวัคซีน :
ก่อนหน้าการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 วัคซีนที่ถูกพัฒนาและนำมาใช้ได้เร็วที่สุด คือ วัคซีนโรคคางทูม ซึ่งต้องใช้เวลาในการพัฒนานานถึง 4 ปี แต่ภายในเวลาเพียงไม่ถึง 12 เดือน บริษัทไฟเซอร์ ประสบความสำเร็จในการพัฒนาวัคซีนต้านโควิด-19 ได้เป็นบริษัทแรก และภายในระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมานี้ มีวัคซีนรวมกันถึง 12 ชนิดที่ได้รับการอนุมัติให้ใช้ได้อย่างเต็มรูปแบบในส่วนต่างๆ ของโลก และ 19 ชนิดที่ถูกอนุมัติให้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน นอกจากนี้ในปัจจุบันยังมีวัคซีนอีกมากกว่า 100 ชนิดที่อยู่ในขั้นตอนการทดสอบทางคลินิกด้วย
...
ว่าแต่...มาถึงวันนี้ “คุณ” ได้ฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 กันไปคนละกี่เข็มกันแล้วนะ?
หน้ากากอนามัยยังคงเป็นอีกหนึ่งอวัยวะของมนุษย์ต่อไป :
ในช่วงต้นของการแพร่ระบาด เกิดข้อถกเถียงอย่างกว้างขวางว่า หน้ากากอนามัย จำเป็นต่อการป้องกันการแพร่ระบาดหรือไม่ แต่ ณ วันนี้ หน้ากากอนามัยได้ “แสดงคำตอบ” ด้วยตัวของมันเองแล้วว่า “มันคือสิ่งที่มีความจำเป็น” โดยเฉพาะหลังพบข้อมูลที่ชัดเจนว่า ผู้ติดเชื้อไม่แสดงอาการสามารถแพร่เชื้อได้ ด้วยเหตุนี้ แม้แต่ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ หรือ CDC ก็ยังต้องกลับลำ เปลี่ยนคำแนะนำให้ ผู้ที่ฉีดวัคซีนครบสูตร กลับไปสวมหน้ากากอนามัยเวลาไปอยู่สถานที่เสี่ยง
...
สิ่งที่ยังต้องเฝ้าระวัง
1.การกลายพันธุ์ของไวรัส
การแพร่ระบาดในระดับสูง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีอัตราการฉีดวัคซีนต่อจำนวนประชากรในระดับต่ำ ยังเป็นสิ่งที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เพราะการแพร่ระบาดจะนำไปสู่การกลายพันธุ์ของไวรัส และหากโชคร้าย ไวรัสที่กลายพันธุ์สามารถเพิ่มอัตราการติดเชื้อ รวมถึงอาการเจ็บป่วยหนักมากขึ้น บางทีวัคซีนต้านโควิด-19 ที่มีอยู่ในเวลานี้ อาจใช้ไม่ได้ผล
2. ภูมิคุ้มกันลดลง
จากข้อมูลเท่าที่มีอยู่ในเวลานี้ “กลุ่มเปราะบาง” ผู้สูงอายุและมีโรคร่วม แม้จะได้รับวัคซีนครบสูตรแล้ว แต่เมื่อเวลาผ่านไประดับภูมิคุ้มกันมักจะลดลง ด้วยเหตุนี้กลุ่มเปราะบางจึงควรได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นต่อไป
3.อาการ Long COVID
การแพร่ระบาดที่ยังดำเนินอยู่ในเวลานี้ ซึ่งแม้แต่ในกลุ่มผู้ที่ได้รับวัคซีนครบสูตร รวมถึง กลุ่มคนที่หายจากอาการป่วยโรคโควิด ก็ยังมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อซ้ำได้ ย่อมทำให้มีความเสี่ยงที่ผู้ติดเชื้อ อาจเกิดอาการ Long COVID โดยจากข้อมูลในปัจจุบันอยู่ที่สัดส่วนประมาณ 1 ใน 10 ของผู้ป่วยโรคโควิด-19
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :
คำถามที่ยังไร้คำตอบ
1. โควิด-19 เกิดขึ้นจากอะไรกันแน่ :
หลังการปรากฏตัวครั้งแรกที่เมืองอู่ฮั่นประเทศจีน และลุกลามกลายเป็นประเด็นร้อนทางการเมืองระหว่างสหรัฐฯ และจีน แต่จนถึงทุกวันนี้ ก็ยังคงไร้คำตอบที่แน่ชัดว่า โรคระบาดที่คร่าชีวิตผู้คนไปมากมายและฉุดเศรษฐกิจโลกให้ดำดิ่งมีต้นกำเนิดมาจากอะไรกันแน่
อย่างไรก็ดี นักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขทั่วโลกส่วนใหญ่ยังคงมีความเชื่อมั่นว่า ต้นกำเนิดของโรคโควิด-19 น่าจะเกิดมาจากสัตว์มากกว่า “ทฤษฎีการรั่วไหลจากห้องปฏิบัติการ”
2. เมื่อไหร่ที่การแพร่ระบาดโควิด-19 จะสิ้นสุด :
“แม้ว่ารายงานผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตทั่วโลกจะลดลง และหลายประเทศได้ยกเลิกข้อจำกัดต่างๆ แต่...การแพร่ระบาดใหญ่ ยังไม่ได้สิ้นสุดลง”
ดร.เทดรอส อัดฮานอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่ขององค์การอนามัยโลก
คำกล่าวของ ผู้อำนวยการใหญ่ขององค์การอนามัยโลก สะท้อนถึงความวิตกกังวล ความเป็นจริง ณ เวลานี้ว่า การที่หลายๆ ประเทศ เริ่มลดการตรวจหาผู้ติดเชื้อลงอย่างฮวบฮาบ รวมถึงอัตราการฉีดวัคซีนในกลุ่มประเทศยากจนยังคงเป็นไปอย่างเชื่องช้า ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับอัตราการฉีดวัคซีนของประชากรในกลุ่มประเทศร่ำรวย นั้น นอกจากจะขัดขวางการศึกษาและติดตามโรคอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่ว่าไวรัสอยู่ที่ไหน แพร่กระจายโรคอย่างไร และวิวัฒนาการอย่างไร แล้ว ยังจะทำให้ การแพร่ระบาดโควิด-19 ทอดยาวออกไปอีกด้วย เพราะ....
“will not be over anywhere until it’s over everywhere”
“จะไม่มีที่ใดสิ้นสุด (การแพร่ระบาด) จนกว่า ทุกๆ ที่จะสิ้นสุด (การแพร่ระบาด)
หมายเหตุ สิ้นสุดวันที่ 11 มี.ค. 2020 จากข้อมูลของ Our World in Data มีประชากรโลกคิดเป็นสัดส่วนเพียง 63.4% ที่ได้รับวัคซีนต้านโควิด-19 อย่างน้อย 1 เข็ม จากปริมาณวัคซีนมากกว่า 10,000 ล้านโดสทั่วโลก โดยในจำนวนนี้ มีพลเมืองจากประเทศที่มีรายได้ต่ำ ได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 เข็ม คิดเป็นสัดส่วนเพียง 13.7% เท่านั้น ในขณะที่พลเมืองของบางประเทศโดยในกลุ่มประเทศร่ำรวย เข้าสู่การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น เข็มที่ 3 หรือ เข็มที่ 4 กันแล้ว!
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง