“ปะการังเป็นหมันเฉียบพลัน” กำลังเป็นผลกระทบที่ทีมนักวิจัยจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กังวล และจับตาอย่างใกล้ชิด แม้สภาพปัจจุบันยังปกติ เพราะบทเรียนจากน้ำมันดิบรั่วในอดีต ทำให้ปะการังเป็นหมันส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ และใช้เวลาฟื้นฟูถึง 3-5 ปี

10 วันที่แล้วมันดิบรั่วที่ทะเลระยอง ทำให้น้ำทะเลเป็นคราบสีดำจนน่าตกใจ แต่ในวันนี้น้ำทะเลกลับมาใส ทรายกลับมาขาวเหมือนเดิมแล้ว หลังจากหลายหน่วยงานระดมกำลังกันขจัดคราบน้ำมันออกจากชายหาดกันอย่างเต็มที่ แต่ปัญหานี้ยังต้องเฝ้าระวังว่าจะเกิดผลกระทบอะไรตามมาอีกหรือไม่

ล่าสุดสถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ ร่วมกับ ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ และศูนย์บริการวิชาการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เผยแพร่เอกสารข่าว และมีความเห็นเพิ่มเติมจากนักวิจัยของสถาบันฯ ระบุถึงความกังวลว่า เหตุน้ำมันดิบรั่วในทะเลที่มีบทเรียนจากอดีตอาจทำให้ปะการังเป็นหมันเฉียบพลัน และต้องรอฟื้นฟูอย่างน้อย 3-5 ปี ดังนั้นผลกระทบอาจจะไม่เห็นทันที 1-2 สัปดาห์ แต่อาจจะใช้เวลานานอย่างน้อย 1 ปี จึงจะเห็นผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อมในพื้นที่นั้นๆ

ทีมวิจัยถ่ายภาพจากบริเวณก้นอ่าว เขาแหลมหญ้า เมื่อวันที่ 4 ก.พ.
ทีมวิจัยถ่ายภาพจากบริเวณก้นอ่าว เขาแหลมหญ้า เมื่อวันที่ 4 ก.พ.

...


ศ.ดร.สุชนา ชวนิชย์ รองผู้อำนวยการ สถาบันวิจัยวิจัยทรัพยากรทางน้ำ และศูนย์บริการวิชาการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยกับไทยรัฐออนไลน์ว่า สภาพปะการังเป็นหมัน คือ ปะการังไม่สามารถปล่อยเซลล์สืบพันธุ์ไข่และสเปิร์มได้ หรือถึงแม้ปะการังจะสามารถปล่อยเซลล์สืบพันธุ์ไข่และสเปิร์มได้ แต่คราบน้ำมันและสารขจัดคราบน้ำมัน จะทำให้เซลล์สืบพันธุ์ที่ถูกปล่อยออกมามีรูปร่างที่ผิดปกติ ทำให้ไม่สามารถปฏิสนธิกันได้ จึงทำให้เกิดสถานการณ์ที่เรียกว่า ปะการังเป็นหมันเฉียบพลัน ซึ่งเหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นในอดีต ช่วงน้ำมันดิบรั่วเมื่อปี 2556

ผลกระทบจากปะการังเป็นหมันเฉียบพลันคือ ปริมาณปะการังและความหลากหลายทางพันธุกรรมของปะการังจะลดลง เพราะความหลากหลายทางพันธุกรรมต้องสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ อาจส่งผลให้ปะการังลดลงและสูญพันธุ์ไปในที่สุด ดังนั้นแม้ดูจากภายนอกว่าสิ่งแวดล้อมจะกลับมาเหมือนเดิม แต่ก็จะใช้เวลา 3-5 ปี ปะการังจึงจะสามารถกลับมาปล่อยไข่และสเปิร์มได้เหมือนเดิม แต่ปะการังส่วนใหญ่ที่ได้รับผลกระทบจะไม่เหมือนเดิม 100%

ปะการังก้อน หรือปะการังสมองในทะเลที่ก้นอ่าว น้ำลึกประมาณ  3-5 เมตร เมื่อวันที่ 4 ก.พ.
ปะการังก้อน หรือปะการังสมองในทะเลที่ก้นอ่าว น้ำลึกประมาณ 3-5 เมตร เมื่อวันที่ 4 ก.พ.


ส่วนการเก็บตัวอย่างของทีมวิจัยครั้งนี้ ดำเนินการในพื้นที่บริเวณก้นอ่าว เขาแหลมหญ้า และอ่าวพร้าว เกาะเสม็ด โดยเก็บตัวอย่างดินตะกอน น้ำทะเล และสิ่งมีชีวิตทางทะเล เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2565 หรือหลังจากน้ำมันดิบรั่ว 4 วัน และล่าสุดเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2565 โดยพบว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่ปะการังเริ่มมีไข่ แต่ยังไม่ปล่อยออกมา ดูสภาพภายนอกยังปกติ จึงต้องรอเวลาว่าปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้ไข่ของปะการังจะได้รับผลกระทบจากสารเคมีของน้ำมันดิบ และสารขจัดคราบน้ำมัน มากน้อยเพียงใด

จุดขาวๆ คือไข่ปะการังที่ทีมวิจัยถ่ายภาพไว้เมื่อวันที่ 4 ก.พ.
จุดขาวๆ คือไข่ปะการังที่ทีมวิจัยถ่ายภาพไว้เมื่อวันที่ 4 ก.พ.


ข้อมูลจากเอกสารข่าวระบุว่า เหตุการณ์น้ำมันรั่วนี้เกิดขึ้นในช่วงระหว่างเดือนที่ปะการังกำลังจะปล่อยเซลล์สืบพันธุ์ คือประมาณกุมภาพันธ์ ถึง เมษายน ยิ่งทำให้น่าเป็นห่วงว่า อัตราการเป็นหมันของปะการังจะเกิดสูง

...

ปะการังเปรียบเสมือนบ้านของสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเล เป็นแหล่งอาหารของนานาสัตว์ใต้ทะเล ถ้าปะการังลดลง หรือตาย ก็จะกระทบกับระบบนิเวศในทะเลเช่นกัน กรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุดนี้จึงควรต้องติดตามผลกระทบอย่างต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อย 1 ปี

ขณะเดียวกัน ศ.ดร.วรณพ วิยกาญจน์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยวิจัยทรัพยากรทางน้ำ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอาจารย์ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ให้ความเห็นว่า หลายครั้งที่เกิดอุบัติเหตุสารเคมีปริมาณมหาศาลปนเปื้อนในทะเล มักจะเห็นการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่ไม่ลงลึกในรายละเอียดและรอบด้าน โดยเฉพาะปะการังมักถูกประเมินว่าไม่ได้รับผลกระทบ เพราะดูจากแค่ภายนอก ทั้งที่ภายในของปะการังได้รับผลกระทบมาก

ทั้งนี้ไม่ว่าในน้ำมันหรือสารขจัดคราบน้ำมัน ล้วนเป็นส่วนผสมของสารเคมีที่จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อสิ่งแวดล้อมทางทะเล และใช้เวลานานกว่าจะเห็นถึงผลเสียที่สะสม และส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างชัดเจน ขณะเดียวกันก็ยังสามารถส่งผลกระทบต่อบริเวณใกล้เคียง แม้ว่าจะไม่พบคราบน้ำมันหรือการปนเปื้อนก็ตาม เนื่องจากเป็นน้ำทะเลมวลเดียวกัน ปะการัง และสิ่งมีชีวิตในบริเวณใกล้เคียงจึงได้รับผลกระทบเช่นกัน

ย้อนดู 10 วันระทึกน้ำมันดิบรั่วทะเลระยอง
เหตุการณ์ 10 วันระทึกที่เกิดขึ้นกับท้องทะเลระยองก่อนหน้านี้ เริ่มจากวันที่ 25 ม.ค. 2565 เวลา 21.06 น. เกิดเหตุน้ำมันดิบของบริษัท สตาร์ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) (SPRC) รั่วไหลจากท่อใต้ทะเล บริเวณทุ่นผูกเรือน้ำลึก หรือจุดขนถ่ายน้ำมันในทะเล (SPM) ในพื้นที่ทะเลจังหวัดระยอง โดยในเบื้องต้นที่เป็นข่าวมีการคาดการณ์ว่าปริมาณน้ำมันดิบรั่วออกมาอยู่ที่ประมาณ 4 แสนลิตร แต่ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการในเวลานั้น โดยจุดรั่วอยู่ห่างจากฝั่ง 20 กิโลเมตร

...


3 ก.พ. 2565 หรือประมาณ 8 วันหลังจากน้ำมันดิบรั่ว เจ้าหน้าที่จากทางจังหวัดระยอง ได้ร่วมกับทัพเรือ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงบริษัทสตาร์ฯ แถลงความสำเร็จในการขจัดคราบน้ำมันจนสถานการณ์คลี่คลาย ไม่พบคราบน้ำมันที่หาดแม่รำพึง และไปไม่ถึงเกาะเสม็ด โดยเฉพาะอ่าวพร้าว อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้าอย่างที่น่ากังวลในช่วงแรกที่มีข่าวว่าน้ำมันดิบรั่ว โดยทีมผู้บริหารบริษัทสตาร์ฯ ยังได้ยกมือไหว้ขอโทษกลุ่มประมงเรือเล็กคลองกะเฌอ หาดแม่รำพึง ต.ตะพง อ.เมืองระยอง ด้วย

4 ก.พ.2565 บริษัทสตาร์ฯ ได้แถลงตัวเลขปริมาณน้ำมันดิบที่รั่วอย่างเป็นทางการว่ามีปริมาณ 39 ตัน หรือปริมาณ 47,000 ลิตร สอดคล้องกับที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าอยู่ที่ประมาณ 20-50 ตัน

ขอบคุณภาพ : สถาบันวิจัยวิจัยทรัพยากรทางน้ำ และศูนย์บริการวิชาการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย