เรื่องราวของอดีตพระยันตระ เป็นที่สนใจอีกครั้ง เมื่อกลับมาเมืองไทยเป็นครั้งที่ 2 หลังหนีคดีหลายข้อหาในทางโลก และกระทำการล่วงละเมิดพระธรรมวินัย ทำการเสพเมถุน ต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระ และยังก้าวล่วงหมิ่นสมเด็จพระสังฆราชฯ เมื่อปี 2537 ทำให้ต้องระเห็จออกนอกประเทศ
อดีตพระยันตระ ชื่อจริงนายวินัย ละอองสุวรรณ ยังคงยืนยันในความเป็นพระ ท้าทายวงการผ้าเหลือง หันไปห่มจีวรสีเขียวเข้ม เป็นที่มาของ ”จิ้งเขียว” ตามที่สื่อได้ตั้งฉายา และได้รับสถานะผู้ลี้ภัยทางการเมืองใช้ชีวิตอยู่ในสหรัฐฯ ภายในสำนักสุญญตาราม เมืองเอสคอนดิโด รัฐแคลิฟอร์เนีย
ผ่านไป 20 ปี เมื่อคดีความหมดอายุ อดีตพระยันตระ ยังคงแต่งกายคล้ายพระสงฆ์ ไว้ผมยาวและหนวดเคราขาวรุงรัง ได้ปรากฏตัวในเมืองไทย เมื่อเดือน เม.ย. ปี 2557 กลับไปยังบ้านเกิด อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช พร้อมกับการแห่กราบไหว้ของคนจำนวนหนึ่งที่ยังศรัทธาไม่เสื่อมคลาย
...
จนมาในปี 2564 ช่วงโควิดระบาด อดีตพระยันตระ ในวัย 70 ปี กลับเมืองไทยอีกครั้ง เมื่อวันที่ 28 ก.ย. โดยกักตัว 14 วัน ก่อนเดินทางไปยังบ้านเกิดใน จ.นครศรีธรรมราช และเดินทางไปอาศรมเกพลิตาโพธิวิหาร จ.สระแก้ว ซึ่งมีพระสงฆ์ ก้มลงกราบไหว้ จนเป็นภาพที่ไม่เหมาะสม ถูกวิพากษ์วิจารณ์ตั้งคำถามพระสงฆ์กราบไหว้ฆราวาสได้หรือไม่
แม้แต่พระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว มองว่าพระสงฆ์ไม่ควรก้มกราบฆราวาส เพราะไม่เหมาะสม แม้ฆราวาสจะเป็นครูบาอาจารย์ หรือเป็นผู้มีพระคุณ แต่พระสงฆ์แสดงความนับถือได้ แต่ไม่ควรก้มกราบเชิดชู และโดยเฉพาะอดีตพระยันตระ ไม่ได้เป็นพระแล้ว เป็นผู้เคยทำผิดที่ศาลตัดสินโทษ ยิ่งไม่ควรยกย่องเชิดชู
แล้วเหตุใดยังมีผู้คนมากมายในสังคม ยังคงกราบไหว้ศรัทธาอดีตพระยันตระ แม้ได้ขาดจากความเป็นพระไปแล้ว ทางด้าน ”ผศ.ดร.ชาญณรงค์ บุญหนุน” หัวหน้าภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เห็นว่า มีองค์ประกอบหลายอย่างในเรื่องความเชื่อในเรื่องศาสนา โดยคนยังเชื่อว่าอดีตพระยันตระ เป็นผู้บรรลุธรรม เพราะในยุครุ่งเรืองของอดีตพระยันตระ ได้รับการนับถือจากคนจำนวนมากในสมัยนั้นทุกเพศทุกวัย และคนเหล่านั้นยังเชื่อมั่นในครูบาอาจารย์ของตนว่าเป็นพระอรหันต์
เพราะจากประวัติของอดีตพระยันตระ เคยเป็นฤๅษีก่อนบวชเป็นพระ และทำตัวคล้ายพระพุทธเจ้า จากการแสดงธรรมเทศนาในสถานที่ต่างๆ ซึ่งมีการจัดตั้งฉากเหมือนการแสดงธรรมของพระพุทธเจ้า ทำให้บรรดาลูกศิษย์เข้าใจว่าเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ จนกลายเป็นความเชื่อ
นอกจากนี้กรณีพระสงฆ์ถูกสึก เพราะเสพเมถุน หรือแผนนารีพิฆาต ได้กลายเป็นวาทกรรมของเหล่าลูกศิษย์มองว่าเป็นการกระทำของอีกฝ่ายจากอีกศาสนา ต้องการมาทำลายศาสนาโดยเอาสีกามาล่อ ไม่ว่ากรณีของอดีตพระนิกร มีสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับสีกา หรืออดีตพระภาวนาพุทโธ มีพฤติกรรมกระทำชำเราเด็กสาว ซึ่งต่างมีลูกศิษย์ลูกหาจำนวนมาก และมีความเชื่อศรัทธาในอดีตพระทั้งสอง
“เป็นความเชื่อของชาวพุทธจำนวนหนึ่ง แม้มีหลักฐานต่างๆ จนถูกตั้งข้อหา แต่ก็ถูกโต้จากเหล่าลูกศิษย์ว่าไม่เชื่อมองเป็นแผนนารีพิฆาต ทำลายศาสนา”
...
ในกรณีที่สังคมกำลังวิพากษ์วิจารณ์พระสงฆ์ก้มลงกราบไหว้อดีตพระยันตระ เข้าใจว่าเป็นลูกศิษย์ลูกหากันมานาน จนปัจจุบันมีอายุมากบวชมานานหลายพรรษา กลายเป็นพระผู้ใหญ่ ระดับเจ้าอาวาสหรือเจ้าคณะ แต่ยังคงนับถืออดีตพระยันตระ ซึ่งมีอิทธิพลต่อญาติโยมที่ยังมีคนนับถือไม่เสื่อมคลาย
แม้จะโดนสึกหรือไม่สึกก็ตาม จะเห็นภาพฆราวาสและพระสงฆ์ก้มกราบเช่นนี้ หรือหากอดีตเณรคำ ออกมาจากเรือนจำ ก็คงมีคนกราบไหว้ เช่นเดียวกับอดีตพระภาวนาพุทโธ มีคนพูดให้ฟังว่ายังห่มขาว และมีลูกศิษย์นับถือ เรียกได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ความเชื่อในครูบาอาจารย์ ไม่ว่าจะถูกกล่าวหาอย่างไร ก็ไม่เชื่อในกลุ่มคนนับถือที่เป็นกลุ่มเฉพาะ หรือแม้แต่การนับถือแม่ชี ยกเป็นพระสงฆ์ ก็ยังมี ถือเป็นเป็นศรัทธาร่วมหมู่
“ไม่ใช่ว่าคนไทยไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยว แต่เป็นเรื่องลัทธิบูชาส่วนบุคคล เมื่อยกใครขึ้นมาจากความเชื่อ ก็จะเชื่อจนถึงที่สุด ไม่ยอมเปิดใจรับฟัง และยังคงเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ ซึ่งคนรุ่นใหม่ไม่ซีเรียสในเรื่องพวกนี้ หรือบางคนได้รับการอบรมสั่งสอนทางพุทธศาสนา อาจรู้สึกไม่ดี เมื่อเห็นพระก้มกราบอดีตพระยันตระที่เป็นฆราวาส แต่เด็กหัวก้าวหน้าไม่คิดอะไร มองเป็นเรื่องส่วนบุคคล หรืออาจจะงงๆ บ้าง เพราะไม่ใช่วัฒนธรรมที่คุ้นเคย”
...
สรุปแล้วความเชื่อของคนไทยในลักษณะนี้ ยังคงเกิดขึ้นในสังคมไทย ตราบใดที่วิธีคิดยังเป็นแบบไทยๆ และจารีตปฏิบัติในวงการพระสงฆ์ยังไม่เปลี่ยนแปลง แต่ในบริบทที่เกิดขึ้นไม่ได้มีเฉพาะในไทย ยังมีในศาสนาอื่นที่เชื่อกันแบบนี้ และของไทยกรณีมีปัญหาเกิดขึ้น ไม่ได้มีการสอบสวนจริงจัง เพื่อคลายความสงสัยว่าควรจะนับถือพระที่ถูกกล่าวหาต่อไปหรือไม่ และการตั้งคณะสงฆ์เข้ามาดูแลก็ไม่สามารถจัดการให้เกิดความโปร่งใสแจ่มแจ้ง
สุดท้ายแล้วสังคมไทยยังวนอยู่กับศรัทธาความเชื่อ อาจไม่ค่อยลืมหูลืมตา และไม่มีการคลายข้อสงสัย จนในที่สุดคนอาจจะเชื่อในตัวพระ ที่เป็นบุคคลออกมาแสดงสร้างความเชื่อ จนคนเชื่ออย่างสนิทไม่สงสัยอะไรอีกต่อไป.