การระบาดของ "โควิด" ในไทย กลับมาหนักหน่วงอีกครั้ง เหมือนจะซ้ำรอยเมื่อปีที่แล้ว ผู้ติดเชื้อคลัสเตอร์ใหญ่มาจาก "สถานบันเทิง" กลางกรุง ก่อนกระจายไปทั่วหลายพื้นที่ในต่างจังหวัด ต้องประกาศกะทันหันให้ กทม.เป็น "พื้นที่สีแดง" รวมถึงปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ และนครปฐม กำหนดให้ร้านอาหาร สถานบันเทิง เปิดไม่เกิน 21.00 น. รับประทานอาหารได้ แต่งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งควบคุมการแพร่ระบาด ทำการตรวจเชิงรุกกลุ่มผู้มีความเสี่ยง ทำให้วันที่ 6 เม.ย. 2564 พบผู้ติดเชื้อในประเทศ 245 ราย จากจำนวน 250 ราย ซึ่งส่วนหนึ่งเดินทางมาจากต่างประเทศ เฉพาะใน กทม. มากสุด 156 ราย ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับสถานบันเทิง และแม้หน่วยงานรัฐ ไม่ได้ยืนยันชัดเจนเป็นการระบาดระลอก 3 แต่ในมุมมองของแพทย์หลายคนระบุชัดครั้งนี้ คือการระบาดระลอก 3 อย่างแน่นอน กำลังรอการปะทุ ขอให้ทุกคนระวังตัว ป้องกันตัวเองให้มากๆ
“ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา” ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวกับ “ทีมข่าวเจาะประเด็นไทยรัฐออนไลน์” ว่า ขณะนี้การแพร่ระบาดของ "โควิด" ในไทย เข้าสู่ "ระลอก 3" จากต้นตอที่ปล่อยเชื้อบอกสาเหตุไม่ได้ว่ามาจากที่ใด เพราะคนติดเชื้อไม่มีอาการ ได้แพร่เชื้อกระจายไปทั่วโดยไม่รู้ตัว เนื่องจากประเทศไทยไม่เคยให้ความสำคัญในการตรวจเชิงรุกกับคนแพร่เชื้อไม่มีอาการ ดังนั้นเวลาเข้าไปในสถานที่อับ ยิ่งทำให้แพร่เชื้อหนัก และการเข้าสู่ระลอก 3 ที่แท้จริง ผู้ป่วยจะมีอาการหนักต้องเข้าโรงพยาบาล เป็นลักษณะการแพร่ระบาดของโควิด เริ่มจากคนไม่มีอาการ และเมื่อเริ่มเข้าพิกัด จะเริ่มแพร่เชื้อมากขึ้น เหมือนการระบาดเมื่อปีที่แล้ว
...
“ที่ผ่านมาเคยเตือนหลายครั้ง กรณีคนติดเชื้อไม่มีอาการ จำเป็นต้องตรวจ แต่การตรวจเชิงรุกของไทยทำเฉพาะกลุ่มเสี่ยง และการจะตรวจเชิงรุกจริงๆ ต้องเข้าถึงทุกพื้นที่ มีการประเมินปริมาณของคนติดเชื้อว่าเพิ่มขึ้นมากแค่ไหนในการประกาศเตือน ไม่ใช่แถลงแต่ตัวเลขรายวัน ทำให้คนการ์ดตก จะโทษประชาชนไม่ได้ เพราะเป็นการสื่อสารที่ไม่ถูกต้อง เป็นการสื่อสารเพื่อสร้างความสบายใจฝ่ายเดียว แต่แท้ที่จริงทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าไม่มีโรคระบาดแล้ว”
ส่วนการเปิดสถานบริการ หลังการปลดล็อกมาตรการ ไม่ได้มีการสอดส่องกำชับในการจำกัดจำนวนคน เช่น จาก 100 คน ต้องจำกัดเหลือเพียง 50 คน อาจห้ามเต้น ต้องรักษาระยะห่าง ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องรู้อยู่แล้วว่าต้องเกิดขึ้น แต่ไม่ให้ความสำคัญกับคนติดเชื้อไม่มีอาการ และมีแนวคิดที่ผิดว่าคนไม่มีอาการ จะไม่เอาเชื้อไปติดคนอื่น
นอกจากนี้การป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด ไม่ควรจำกัดเฉพาะผับ บาร์ แต่ควรเน้นเรื่องวินัย และเน้นการป้องกันในพื้นที่อับด้วย อย่างน้อยที่สุดพฤติกรรมที่มีการชุมนุมนั้นมีความเสี่ยงมากแค่ไหน โดยสถานบันเทิง ขาดคุณสมบัติครบ ทั้งไม่มีวินัยส่วนตน ไม่รักษาระยะห่าง ไม่กำหนดระยะเวลาใกล้ชิด มีพฤติการณ์สุ่มเสี่ยง และเป็นพื้นที่อับ
“เช่นเดียวกับรถโดยสารสาธารณะ และรถไฟ มีคนหนาแน่นมีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อโควิดจากคนไม่มีอาการ โดยเฉพาะหยุดยาวสงกรานต์ จะมีคนกลับบ้านจำนวนมาก ควรค่อยๆ ปล่อยคนกลับบ้าน ไม่ใช่ให้คนเฮโลกลับบ้านในวันเดียวหมื่นกว่าคน เสี่ยงแพร่เชื้อมาก เพราะรถโดยสารทุกคันจะเต็มไปด้วยผู้คน ดังนั้นในช่วงเหลือเวลาไม่กี่วัน ก็ควรให้เจ้าของกิจการ ให้ลูกจ้างค่อยๆ ทยอยกลับบ้านจะดีกว่า”.