บนวัย 40 ปี นี่คือ "แชมป์ฟุตบอลลีกครั้งแรก" บนถนนการผจญภัยในโลกลูกหนังอันแสนยาวไกล หากแต่...โทรฟีประดับเกียรติยศนี้ เสียอย่างเดียว มันดันเป็นแชมป์ลีกแรก ในฐานะเป็นผู้จัดการทีม หาใช่ในฐานะนักเตะไม่!

มลทินเดียวจากกลิ่นสาบลูกหนังที่ชายผู้นี้แทบจะแยกขาดจากมันไม่ได้ในชีวิต ซึ่งเหลือเพียงโทรฟีเดียว คือ "แชมป์ฟุตบอลลีก" ในที่สุด...มันก็ไม่ได้ไกลเกินเอื้อมมือไปไขว่คว้า! แม้มันอาจเป็นแชมป์ฟุตบอลลีกเล็กกระจ้อยร่อย อย่าง "สกอตติช พรีเมียร์ชิพ" ที่ทั้งลีกมีเพียงแค่ 12 สโมสร และมีเพียงสโมสรเดียว คือ อริร่วมเมืองอย่างไอ้ม้าลายเขียว-ขาว "กลาสโกว์ เซลติก" เท่านั้นที่อาจนับได้ว่าเป็น "คู่แข่ง"

แต่มันคือ...ย่างก้าวแรกแห่งความสำเร็จที่อาจนำไปสู่การหวนคืนบ้านอันสุดอบอุ่น ที่มีชื่อว่า "แอนฟิลด์" ทุ่งหญ้าที่อุดมไปด้วยอ้อมกอดของชาวสเกาเซอร์ ซึ่งทั้งรักใคร่และให้ความเคารพรักชายผู้นี้ประดุจเทพเจ้า

ยินดีด้วยไอ้เกลอ "สตีวีจี" ในที่สุดนายก็ทำมันได้สำเร็จ (สักที) จะรออะไรกันอีกล่ะ เสียงกระแทกมืออันกึกก้องต้องมาแล้ว!

ในท่ามกลางฤดูกาลที่เต็มไปด้วยความหม่นหมองจากภาวะการแพร่ระบาดโควิด-19 "สตีเวน เจอร์ราร์ด" พาทีม "เดอะไลท์บลู" กลาสโกว์ เรนเจอร์ส อดีตมหาอำนาจลูกหนังแดนวิสกี้ คว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี ด้วยสถิติ (ณ วันที่ 12 มี.ค. 2021) ลงแข่ง 32 นัด ชนะ 28 นัด เสมอ 4 นัด ยิงประตูได้ 77 ประตู เสียประตู 9 ประตู ผลต่างประตูได้เสีย 68 ประตู ทำแต้มได้ 88 คะแนน!

ส่วนผลงานอะไรที่ออกจะเท่มากที่สุด คงเป็นสถิติไร้พ่าย ใช่! ฤดูกาลนี้ในลีก "เดอะไลท์บลู" เล่นไปแล้ว 32 นัด (เหลืออีก 6 นัดจะจบฤดูกาล) พวกเขายังสะกดคำว่า "แพ้" ไม่เป็น ในขณะที่อีกทีม ณ ทุ่งแอนฟิลด์ รีสอร์ต แอนด์ สปา แพ้ในบ้านไปแล้วถึง 6 นัดติดต่อกัน!

...

Let’s go จุดเริ่มต้นนับหนึ่งในฐานะ Rookie Manager

"Let’s go!" คำเพียงสองพยางค์ง่ายๆ ที่ "สตีวีจี" ต้องการสื่อถึงแฟนบอลเรนเจอร์ส ในวันที่ก้าวเท้าเข้าสู่ถิ่น "ไอบร็อกซ์ สเตเดียม" เมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 2018 ในฐานะผู้จัดการทีมหน้าใหม่ (Rookie Manager) บนวัยเพียง 37 ปี ซึ่งถือว่ายังเด็กเอามากๆ สำหรับอาชีพกุนซือ

การทำงานในฐานะผู้จัดการทีมฟุตบอลสำหรับ "มือใหม่" น่าจะยากพอแรงแล้ว แต่โจทย์สำคัญที่ Rookie ผู้นี้ได้รับ มันน่าจะยากเย็นไม่ต่างจากช่วงที่ต้องสวมยูนิฟอร์ม You’II Never Walk Alone เพื่อควานหาแชมป์ลีกครั้งแรกในรอบ 20 กว่าปี

นั่นเป็นเพราะแฟนๆ เรนเจอร์ส ตั้งความหวังเอาไว้เลอเลิศว่า "สตีวีจี" จะต้องสามารถพาทีมคว่ำอริราชศัตรูสำคัญอย่าง "เซลติก" ให้หล่นจากการผูกขาดแชมป์ลีกที่ยาวนานมาถึง 7 ฤดูกาลติดต่อกันให้จงได้ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง คุณภาพนักเตะของเรนเจอร์ส ณ เวลานั้น บางทีหากให้กุนซือหนุ่มที่เพิ่งแขวนเกือก "ยอมถอดสูท" แล้วลงไปหวดลูกบอลเองในสนาม อาจจะยังเข้าท่าเข้าทางกว่าก็ตามเถอะ!

รอย ฮอดจ์สัน (Roy Hodgson) กุนซือมากประสบการณ์และอดีตผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ ยังถึงกับต้องหล่นวาทะหลัง "สตีวีจี" พาตัวเข้าไปยังถิ่นไอบร็อกซ์ สเตเดียม ว่า "เขากำลังเข้ารับงานที่ยากเอามากๆ" โดยในฤดูกาล 2017-2018 ก่อนที่ "เจอร์ราร์ด" จะเข้ารับงานเต็มตัว "เรนเจอร์ส" เข้าป้ายอันดับที่ 3 ของ "สกอตติช พรีเมียร์ชิพ" ตามหลังสโมสรอเบอร์ดีน 3 คะแนน และมีคะแนนห่างจาก "เซลติก" ทีมแชมป์ในปีนั้นถึง 12 คะแนน

"มันไม่มีอะไรจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ในชั่วข้ามคืน" สตีวีจีเปิดใจถึงการประเดิมอาชีพผู้จัดการทีมของตัวเอง ในรายการพอดแคสต์ของ "เดอะ ก็อด" ร็อบบี ฟาวเลอร์

ใช่! "สตีวีจี" พูดถูก เพราะ ณ เวลานั้น ตัวเขาเองก็เพิ่งผ่านการทำงานในฐานะโค้ชของแข้งวัยรุ่นที่อะคาเดมีของค่ายหงส์แดงมาได้เพียงปีเศษๆ เท่านั้น ในขณะที่ แกรี แม็คอัลลิสเตอร์ (Gary Mcallister), ไมเคิล บีล (Michael Beale), จอร์แดน มิลซัม (Jordan Milsom) ที่ดึงมาเป็น Backroom Team จากลิเวอร์พูลคอนเนคชั่น ก็เพิ่งผนึกกำลังรวมตัวกันทำงานเป็นทีมเป็นปีแรกเช่นกัน

แต่แล้ว...ผลลัพธ์การทำงานเต็มตัวในฤดูกาลแรกของ "เจอร์ราร์ด" (ฤดูกาล 2018-2019) ก็ออกมาได้เซอร์ไพรส์เกินคาด เมื่อ "เรนเจอร์ส" จบในอันดับที่ 2 ของตาราง ซึ่งเป็นผลงานที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ปี 2012! และถือเป็นสัญญาณที่ดีพอตัวสำหรับการเริ่มต้นไปสู่ "ความเปลี่ยนแปลง"

การซ่อมเพื่อสร้าง เกมรับคือจุดเริ่มต้นของฐานรากแห่งความสำเร็จ

"เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน" อดีตกุนซือที่เก่งที่สุดคนหนึ่งในโลกลูกหนัง เคยกล่าวถึงสมการง่ายๆ ในเกมฟุตบอลเอาไว้ว่า "เกมรุกอาจทำให้คุณชนะ แต่เกมรับจะทำให้คุณได้แชมป์"

ใช่! ต่อให้ "คุณ" พาทีมยิงประตูคู่ต่อสู้ได้มากมาย แต่หากเกมรับของทีมคุณเปื่อยยุ่ยอย่างกับกระดาษทิชชูโดนน้ำ ที่ยิงประตูไว้ได้มากมาย ก็ถูกเอาคืนได้ง่ายๆ เช่นกัน ด้วยเหตุนี้ สิ่งแรกที่กุนซือหนุ่มเลือกลงมือทำ คือ การปะซ่อมแผงหลังที่ผุพัง การผ่องถ่ายนักเตะที่ไม่ได้อยู่ในแผนการทำทีม เริ่มต้นเร็วพอๆ กับการดึงคนที่ใช่เข้ามาสู่ทีม

"เรนเจอร์ส" เสียมากถึง 50 ประตูในลีก ตลอดฤดูกาล 2017-2018 ก่อนการมาถึงของ "สตีวีจี" ซึ่งมันเป็นจำนวนที่มากเป็น 2 เท่าของจำนวนประตูที่เซลติกเสียให้กับคู่แข่ง (25 ประตู) และยังเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดใน 7 ทีมแรกของตารางคะแนนอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ทุกอย่างจึงถูกเริ่มต้นสร้างมาจาก แผงหลังเป็นลำดับแรก!

...

อย่างไรก็ดี การที่ "เรนเจอร์ส" ยุคนี้ ไม่ใช่ทีมที่ร่ำรวยอะไรมากมายนัก วงเงินงบประมาณที่กุนซือหนุ่มจะนำมาใช้สำหรับการจับจ่ายใช้สอยจึงสุดแสนฝืดเคือง แต่ในเมื่อเลือกแล้วว่า แผงหลังคือเป้าหมายแรก...

1. อัลลัน แม็คเกรเกอร์ (Allan McGregor) ผู้รักษาประตู ค่าตัวฟรี

2. คอนเนอร์ โกลด์สัน (Connor Goldson) เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ ค่าตัว 3.4 ล้านปอนด์

3. นิโคลา คาทิช (Nikola Katic) เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ ค่าตัว 2.28 ล้านปอนด์

4. บอร์นา บาริซิช (Borna Barisic) แบ็กซ้าย ค่าตัว 2.45 ล้านปอนด์

ทั้งหมดถูกซื้อตัวมาเพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ โดยใช้เงินไปเพียง 8.13 ล้านปอนด์เท่านั้น และเมื่อขุมกำลังใหม่ในแผงหลัง ผนึกเข้ากับ "เจมส์ ทาเวอร์เนียร์" (James Tavernier) แบ็กขวา ขุนพลตัวหลักของทีม ที่ในฤดูกาลนี้ "สตีวีจี" ตั้งให้เป็นกัปตันทีม

ผลลัพธ์ที่ได้จากการผสมผสานสมการที่ว่านี้ คือ "เดอะไลท์บลู" เสียประตูตลอดทั้งฤดูกาล 2018-2019 ในลีก ไปเพียง 27 ประตู ซึ่งมากกว่าทีมแชมป์ในฤดูกาลนั้นอย่าง "เซลติก" เพียง 7 ประตู แต่มันน้อยลงเกือบ 2 เท่าจากจำนวนประตูที่เสียในฤดูกาลก่อนหน้า (2017-2018) และในฤดูกาลต่อมา (2019-2020) ด้วยแผงหลังชุดเดียวกันนี้ "เรนเจอร์ส" เสียประตูไปเพียง 19 ประตูในลีก จากการลงเล่นทั้งหมด 29 นัดเท่านั้น!

แต่การผลิดอกออกผลอย่างชัดเจนที่สุด สำหรับ "แผงแบ็กโฟร์" อันสุดแสนน่าภาคภูมิใจของ "เจอร์ราร์ด" ก็คือ ฤดูกาลนี้ (2020-2021) ซึ่งพวกเขาสามารถคว้าแชมป์ลีกได้สำเร็จ โดย "เรนเจอร์ส" ทำสถิติลงเตะในลีก 32 นัด เสียประตูไปเพียง 9 ลูก! แถมยังเป็นการทำสถิติ "คลีนชีต" (Clean Sheets) ได้มากมายถึง 24 นัดอีกด้วย!

...

การสร้างฐานรากอันมั่นคงแข็งแรง สำหรับการก้าวเดินด้วยความมั่นใจ และออกโบยบินสู่ท้องฟ้าอันกว้างไกลในท้ายที่สุด ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว!

การโจมตีจากด้านข้างของ 2 แบ็กคู่หู ยุคสตีวีจีเพรสซิ่ง

หาก "ลิเวอร์พูล" ยุคเกเก้นเพรสซิ่ง มี "แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน" และ "ไอ้หนูเทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์" เป็นแบ็กที่ทำ "แอสซิสต์" ได้มากกว่าปีกอาชีพล่ะก็ "เรนเจอร์ส" ยุคสตีวีจีเพรสซิ่ง ก็มีสองคู่หู "เจมส์ ทาเวอร์เนียร์" และ "บอร์นา บาริซิช" ที่ทำหน้าที่บุกแหลกเข้าถล่มคู่ต่อสู้จากด้านข้างสองฝั่งสนามได้แทบไม่แตกต่างกัน

โดยสองคู่หู "ทาเวอร์เนียร์-บาริซิช" ได้รับการกล่าวขวัญบนแผ่นดินวิสกี้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะ "ทาเวอร์เนียร์" นั้น จุดเด่นเรื่องลูกครอสจากด้านข้าง และ "ลูกฟรีคิก" หวังผลได้สูงเอามากๆ โดยสิ่งที่ยืนยันได้ คือ สถิติในบรรทัดด้านล่างนี้

...

ระบบ 4-3-3 หรือ 4-2-3-1 "สตีวีจีเพรสซิ่ง" บุกให้แหลกแล้วทำลายล้างคู่ต่อสู้ให้แดดิ้นคาสนาม!

เป็นที่ทราบกันดีว่า DNA ในสายพันธ์ุลูกหนังของ "เจอร์ราร์ด" คือ "เกมบุก" เมื่อบวกเข้ากับกลุ่มสตาฟฟ์ที่ดึงมาจากถิ่นแอนฟิลด์ คงแทบไม่ต้องบอกแล้วมั้งว่า "เรนเจอร์ส" ยุคนี้จะเล่นแบบไหน?

ระบบการเล่นแบบ 4-3-3 เพรสซิ่งเต็มรูปแบบ แถมยังให้อิสระฟูลแบ็กซ้าย-ขวา ได้รับอิสระอย่างเต็มที่ในการเติมเกมรุก ที่จะทำให้ในบางจังหวะจะเปลี่ยนเป็น 2-5-3 คือสิ่งที่ "เจอร์ราร์ด" เลือก!

เมื่อเลือกสไตล์การเล่นแบบนี้ สิ่งที่ต้องแลกมา คือ "แผงกองกลาง" ต้องแข็งแกร่งมากพอ เพื่อชะลอเกมรุกฝั่งตรงข้ามในเวลาที่เสียบอล ไรอัน แจ็ค (Ryan Jack), เกล็น คามารา (Glen Kamara) และสตีเวน เดวิส (Steven Davis) คือคำตอบของคำถามที่ว่านั้น โดยเฉพาะในรายของ "เกล็น คามารา" อดีตเด็กปั้นค่ายปืนโตนั้น สามารถเก็บพื้นที่ว่างในสนามเวลาที่ 2 ฟูลแบ็กขึ้นเติมเก็บรุกได้อย่างสุดวิเศษ แถมยังสกัดกั้นภัยคุกคามต่างๆ รวมถึงกำหนดทิศทางเกมได้อย่างเด็ดขาดด้วย

การแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวของปีกจรวดหนุ่มผู้ร้อนแรง "ไรอัน เคนท์"

เจ้าหนูไรอัน เคนท์ (Ryan Kent) อดีตปีกดาวรุ่งจากอะคาเดมีค่ายหงส์แดง ที่ลิเวอร์พูลปล่อยหลุดมือ (อีกแล้ว) ไปอย่างน่าเสียดาย ได้รับรางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมตั้งแต่ถูกยืมตัวมาเล่นที่ "เรนเจอร์ส" ในปีแรก (ฤดูกาล 2018-2019) และในเมื่อฟอร์มเปล่งปลั่งซะขนาดนั้น "เจอร์ราร์ด" จึงต้องยอมทุ่มเงินถึง 7.2 ล้านปอนด์ อุ้มมาร่วมทีมถาวรในฤดูกาลต่อมา (2019-2020)

การพัฒนาการแบบก้าวกระโดดของปีกจอมเทคนิคผู้นี้ คือ กุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนเกมรุมของ "เรนเจอร์ส" ในยุคนี้อย่างแท้จริง ยิ่งเมื่อได้ผสมผสานกับการเข้าทำของยอดกองหน้าชาวโคลอมเบีย อย่าง "อัลเฟรโด โมเรลอส" (Alfredo Morelos) และ "จอมเทคนิค ยานิส ฮาจี้" (Ianis Hagi) ทายาทของ "จอร์จี้ ฮาจี้" เจ้าของฉายามาราโดนาแห่งคาบสมุทรบอลข่านในอดีต ซึ่งถูกซื้อตัวมาร่วมทีมในฤดูกาล 2019-2020 ทุกอย่างมันก็สุดคลิก พวกเขาทั้ง 3 คน กลายเป็นสามเหลี่ยมพิฆาตที่ทรงพลานุภาพในการบุกทะลวงทำประตูอย่างเหลือเชื่อ และในปัจจุบัน ไอ้หนูเคนท์เริ่มส่งกลิ่นหอมไปถึงบรรดาทีมในพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ที่จดๆ จ้องๆ ตาเป็นมัน เตรียมมัดธนบัตรเป็นฟ่อนๆ ไปสู่ขอที่ "ไอบร็อกซ์ สเตเดียม" แล้ว โทษฐานกระชากลากเลื้อยได้เก่งในเวทีเล็กๆ อย่าง "สกอตติช พรีเมียร์ชิพ"

เคนท์ (ซ้าย) โมเรลอส (กลาง) ฮาจี้ (ขวา)

ก้าวต่อไป....ของ "เจอร์ราร์ด" ที่ต้องจับตา

การพาทีม "กลาสโกว์ เรนเจอร์ส" ที่กำลังว้าเหว่ความสำเร็จมาเนิ่นนาน จนสามารถคว้าแชมป์ลีกสมัยที่ 55 ภายในระยะเวลาเพียง 3 ฤดูกาล ถือเป็นผลงานที่สุดเข้าตาสำหรับกุนซือหนุ่ม (ปัจจุบันเจอร์ราร์ดอายุ 40 ปี) มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่มันจะถูกนำไปผูกโยงกับ "เสียงคนึงหาจากถิ่นเก่า" ที่กำลังประสบปัญหาฟอร์มหลุดรุ่งริ่งจนน่าใจหาย หากแต่สุภาพบุรุษนักกีฬาอย่าง "สตีวีจี" กลับตะเพิดเสียงเรียกร้องเหล่านั้นกลับไปอย่างเรียบง่ายว่า...

"ในเมื่อลิเวอร์พูลมีหนึ่งในผู้จัดการทีมที่ยอดเยี่ยมที่สุดอยู่แล้ว และปัจจุบันผมก็ยังทำงานอยู่ที่เรนเจอร์ส มันจึงไม่มีประโยชน์อะไรที่มาพูดเรื่องแบบนี้ นอกจากนี้ ผมยังตั้งความหวังเอาไว้ด้วยว่า เขา (เยอร์เกน คลอปป์) จะทำงานที่แอนฟิลด์ต่อไปอีกหลายปี เพราะตัวผมเองก็รักเขาเช่นกัน" ตอบแบบนี้ก็น่าจะเป็นอัน "จบข่าว" แล้วนะ

ส่วนอนาคตอันใกล้กว่านั้น หากใครยังไม่ลืม ภารกิจคุมหางเสือ "เดอะไลท์บลู" ของ "สตีวีจี" ในฤดูกาลนี้ยังไม่เสร็จสิ้น แม้จะได้แชมป์ไปตั้งแต่ไก่โห่ แต่ภารกิจบนเวทียุโรปยังคงไม่จบสิ้น โดย "เรนเจอร์ส" ยังมีศึกใหญ่กับ "สลาเวีย ปราก" ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ถ้วยยูโรปาลีก ที่ต้องลงเตะชี้ชะตานัดที่ 2 ในวันที่ 19 มีนาคม

ขณะเดียวกัน แม้จะสามารถคว้าแชมป์ลีกได้แล้ว แต่ "ศึกโอลด์เฟิร์ม ดาร์บี" แห่งศักดิ์ศรีกับคู่ปรับตลอดกาล อย่าง "กลาสโกว์ เซลติก" ที่ "ปาร์กเฮด" ในวันที่ 21 มีนาคม คืออีกหนึ่งนัดที่ต้องจับตา เพราะมีหลายสถิติที่รอให้ "สตีวีจี" เป็นผู้พิชิต! นั่นเป็นเพราะ....

     ข้อ 1 ปัจจุบันในลีก "เรนเจอร์ส" ยังสะกดคำว่า "แพ้" ไม่เป็น ฉะนั้นหาก "ไม่แพ้" เซลติกศัตรูตัวฉกาจ โอกาสที่เหลือสำหรับการสร้างสถิติได้แชมป์แบบไร้พ่ายตลอดทั้งฤดูกาลในลีก (เหลืออีก 5 นัด) ย่อมเป็นไปได้สูงมากๆ

และหากเกิดทำได้สำเร็จ ก็จะขึ้นทาบสถิติไร้พ่ายตลอดฤดูกาลที่ "เซลติก" เคยทำไว้ล่าสุดในฤดูกาล 2016-2017 ภายใต้การคุมทีมของ "เบรนแดน ร็อดเจอร์ส" คนชื่อคุ้นๆ ที่ไม่ควรจดจำให้รกสมอง สำหรับ "เจอร์ราร์ด" ทันที!

(หมายเหตุ: ทีมที่เคยทำสถิติได้แชมป์แบบไร้พ่ายตลอดทั้งฤดูกาล ในศึกสกอตติช พรีเมียร์ชิพ ประกอบด้วย 1.เซลติก ฤดูกาล 1897-1898, 2.เรนเจอร์ส ฤดูกาล 1898-1899, 3.เซลติก ฤดูกาล 2016-2017)

     ข้อ 2 หาก "เรนเจอร์ส" ไม่แพ้ "เซลติก" และไม่เสียประตูในศึกใหญ่นี้ "เรนเจอร์ส" จะทำสถิติเก็บคลีนชีตเป็นนัดที่ 25 ซึ่งถือเป็นสถิติคลีนชีตสูงสุดที่ "เซลติก" ในยุคบีร็อดเคยทำเอาไว้ในฤดูกาล 2016-2017 อีกด้วย! (แปลว่าในอีก 5 นัดหลังพบ "เซลติก" หากเก็บคลีนชีตได้อีกสักนัด ก็สามารถทำลายสถิติของคู่กัดได้อีกแล้ว)

เรียกว่า...หากเกิดทำได้สำเร็จขึ้นมา บางที "ปาร์กเฮด" อาจกลายเป็นสถานที่ต้องห้ามสำหรับ "สตีวีจี" ไปเลยก็ได้ เพราะเล่นมาทุบทำลายสถิติอันสุดแสนภาคภูมิถึงบ้าน หลังจากเพิ่งทำให้ชอกช้ำด้วยการหยุดการสร้างสถิติครองแชมป์ลีก 10 ฤดูกาลติดต่อกันของ "เซลติก" ได้สำเร็จในฤดูกาลนี้มาหยกๆ!

"เจอร์ราร์ด" ยังต้องใช้เวลาบ่มเพาะอีกสักระยะ สำหรับการเป็น "เจ้านาย"

แม้จะสามารถพา "เรนเจอร์ส" ได้แชมป์ลีกพร้อมสถิติอันหรูเลิศ แต่ทั้งหมดที่เกิดขึ้น มันคงยังพูดได้ไม่เต็มปากว่า "เจอร์ราร์ด" ประสบความสำเร็จในฐานะผู้จัดการทีมแล้ว เพราะหนทางสำหรับการพิสูจน์ฝีมือมันยังอีกยาวไกล มันยังมีเรื่องอีกมากมายที่ยังต้องเรียนรู้ในฐานะ "เจ้านาย" ของ "นักเตะในทีม" โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฤดูกาลหน้ามาถึง "เรนเจอร์ส" จะเปลี่ยนฐานะจาก "ผู้ไล่ล่า" กลายเป็น "ผู้ถูกล่า" ความท้าทาย แรงกดดัน และเสียงร้องขอจากทั้งแฟนบอล บอร์ดบริหาร มันจะยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี ซึ่งแน่นอนว่า หนุ่มน้อยผู้จัดการทีมจะต้องฝ่าฟันมันไปให้จงได้!

เพื่อความพร้อมสำหรับสถานีต่อไป...ที่มีชื่อว่า "แอนฟิลด์" ในสักวันหนึ่ง เพราะสเกาเซอร์ทุกคนเองก็เชื่อเช่นนั้นจริงไหม?

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
กราฟิก: เทพอมร แสงธรรมาพิทักษ์

: End Credit :

ข่าวน่าสนใจ: