เปิดใจรองเจ้าอาวาสวัดถ้ำกระบอก มองกฎหมายยาเสพติดใหม่ ยิ่งทำให้ไม่เกรงกลัว ชี้ มีผู้ป่วยมารักษามากที่สุดรอบ 67 ปี ตั้งแต่ก่อตั้ง พบคนป่วยเฮโรอีนเริ่มกลับมา...

เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง สำหรับกฎหมายยาเสพติดใหม่ ที่ประกาศใช้ในประเด็นการครอบครองที่ถือเป็น “ผู้เสพ” อาทิ ยาบ้า ไม่เกิน 5 เม็ด/500 มก. ยาไอซ์ ไม่เกิน 5 หน่วย/ผง-ผลึก ไม่เกิน 100 มก. หรือ เฮโรอีน ไม่เกิน 300 มก.

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ มีโอกาสพูดคุยกับ พระอาจารย์วิจิตร อัคคจิตโต รองเจ้าอาวาสวัดถ้ำกระบอก วัดที่ดูแลผู้ป่วยในการเลิกยาเสพติดมายาวนาน ยอมรับว่า เวลานี้มีผู้ป่วยต้องการเลิกยามากที่สุดเป็นประวัติกาล ตั้งแต่ก่อตั้งวัด เมื่อ พ.ศ. 2500 

พระอาจารย์วิจิตร กล่าวว่า เดิมจะเฉลี่ยอยู่ที่ 50 คน เข้าออกทุกวัน เข้า 1 คน ออก 2 คน หรือ เข้า 2 ออก 1 คน เพราะการรักษาของเรา ใช้เวลา 15 วัน ฉะนั้น เมื่อครบ 15 วันก็จะกลับบ้านกันไป และมีคนใหม่เข้ามา ผู้ป่วยจะเป็นลักษณะหมุนเวียน ณ วันนี้ มีผู้ป่วยอยู่ 120 คน ซึ่งทำให้เกิดสภาพ “แน่น” ไปหมด แค่วันนี้วันเดียวก็มีโยมติดต่อมา 3-4 ราย 

“ส่วนมาก ผู้ที่เข้ามารักษา ล้วน “ไม่อยากมา” หรือ บางส่วนที่เข้ามา มีอาการ “เพี้ยน” ไปแล้ว บางคนกลายเป็นผู้ป่วยจิตเวช ต้องกินยาระงับประสาท ตอนนี้ถือว่าภาพรวมของวัดอยู่ในสถานการณ์ที่รุนแรงมาก” 

หาก....มีการถือครองยาเสพติดไม่มาก ตามกฎหมายให้ถือเป็น “ผู้เสพ” ในฐานะที่ดูแลคนเลิกยาเสพติด รองเจ้าอาวาส กล่าวเสียงดังว่า โอ๊ย... ไม่ไหวอย่างแน่นอน 

“เราไม่ควรให้เขาถือครองเลย เรียกว่า “มีไว้ไม่ได้เลย” คำถามคือ เด็กมีวุฒิภาวะขนาดไหน จะใช้เพียงคนเดียวไหม ถ้ามีก็อาจจะแจกจ่ายเพื่อนฝูง ชักจูงคนอื่น กลายเป็นเพิ่มเครือข่าย ขนาดผิดกฎหมาย ก็ติดกันสนั่นหวั่นไหว และหากถือครองมองเป็น “ผู้เสพ” แบบนี้ไม่ต้องแอบซ่อนกันแล้ว ใช้ได้บ้านใคร บ้านมัน หากเจอจับได้ก็รู้สึกว่ากฎหมายไม่ได้เข้มงวด...” 

...

รองเจ้าอาวาสวัดถ้ำกระบอก ย้ำว่า พระอาจารย์รักษายาเสพติดและอยู่กับมันมา 40 ปี คนที่หายขาดจากยาเสพติด และเรียกว่าเป็นคนปกติ ต้องใช้เวลา 10 ปี ถึงจะเรียกว่า “เลิกขาด” บางคนที่เลิกมาแล้ว 4-5 ปี บอกว่า “ผมเลิกได้” แบบนี้ถือว่ายังไม่ได้ เพราะยังมีโอกาสวกกลับไปได้ สิ่งที่ยั่วยวนมีมากมาย ซึ่งต้องยอมรับว่า “ครอบครัว” เพียงอย่างเดียว ก็ไม่มีพลังพอให้เขาเข้มแข็งได้” 

การที่ครอบครัวส่งลูกหลานมารักษายาเสพติด ส่วนมากเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เรียกว่า มันไม่ไหว อาละวาด ถลุงเงิน ถึงที่สุดแล้ว อาตมา บอกตลอดว่า การส่งตัวมารักษา เบื้องต้นคือ ต้อง “สมัครใจ” และอยู่รักษา 15 วัน

หากการมาในสภาพ “จำยอม” กลุ่มเหล่านี้ก็จะรู้สึกว่าอีก 15 วันกลับไปก่อน...โดยเคสล่าสุดที่พบคือ พอได้กลับบ้าน ลงรถไม่ถึง 15 นาที ก็ขู่พ่อแม่ เอาเงินมา จะไปซื้อกัญชา หากไม่ให้ก็โวยวายทำลายข้าวของ ดังนั้น การจะส่งตัวมาวัดถ้ำกระบอก สิ่งสำคัญ คือ ความสมัครใจ 

ผู้เข้ามารักษาส่วนใหญ่ “เสพยาบ้า” ปัญหา “เฮโรอีน” เริ่มกลับมา 

รองเจ้าอาวาสวัดถ้ำกระบอก เผยว่า สถิติคนที่เข้ามารักษาที่วัดถ้ำกระบอก ส่วนมากจะติดยาบ้า รองลงมา ยาไอซ์ ยาเค แบบนี้คือกลุ่มคนมีตังค์หน่อย ขณะเดียวกัน พบว่า ตอนนี้คนป่วยที่ติด “ผงขาว” หรือ “เฮโรอีน” เริ่มกลับมา โดยเฉพาะคนที่เข้ามารักษาในแถบ จ.กาญจนบุรี ซึ่งเริ่มพบแล้วหลายราย 

ส่วน “กัญชา” พบว่า เด็กๆ รุ่นใหม่เริ่มเสพกันมากขึ้น ซึ่ง “กัญชา” คือ จุดเริ่มต้นของเส้นทางยาเสพติด เพราะเขาคิดว่า เสพแล้ว ไม่เป็นอะไร พอใช้กัญชาแล้ว เริ่มเฉยๆ เมาไม่สะใจแล้ว ก็ต่อด้วยยาเสพติดชนิดอื่นๆ  

ที่ผ่านมา เคยคุยกับชาวต่างชาติ ที่เข้ามารักษาที่ถ้ำกระบอก นั่งชุมนุมสนทนากันว่า “ทำอย่างไร ถึงจะป้องกันเยาวชนให้ห่างจากยาเสพติดได้” ชาวต่างชาติคนนั้นตอบว่า ต้องเน้นให้ความรู้ในสถานศึกษาอย่างเข้มงวดกวดขันมากกว่านี้ 

หมายความว่า “เด็ก” หากได้ยินว่าเป็นยาเสพติด ต้องรู้สึกว่าเป็นซาตาน หรือให้ไปถามพ่อแม่ เราต้องการป้องกันเด็กที่ไม่เคยรู้จักหรือสัมผัส เพื่อให้เขาเกลียดและกลัวยาเสพติด ไม่ควรนำเข้าไปสู่ร่างกาย เพราะหากยาเสพติด เข้าร่างกาย มันจะเอาทุกอย่างในชีวิตไปหมด ทั้งชื่อเสียง เงินทอง พ่อแม่ ความรู้ความสามารถ สุดท้ายไม่มีอะไรเลย กลายเป็น “เศษมนุษย์” 

...

ขั้นตอนเลิกยา ถ้ำกระบอก ใน 15 วัน  

พระอาจารย์วิจิตร กล่าวถึงขั้นตอนการเลิกยาเสพติดของวัดถ้ำกระบอกว่า 5 วันแรก จะให้กินยาสมุนไพร 3 ชนิด เพื่อให้ร่างกายผู้ติดยา อาเจียน และล้างสารพิษ 

10 วันหลัง จะกินยาบำรุง ยาลูกกลอนเม็ด ซึ่งเป็นยาระบายอ่อนๆ 

โดยทั้ง 15 วัน จะมีการนำไป อบสมุนไพร ระบายออกทางรูเหงื่อด้วย  

“รับรองว่า ผ่าน 15 วันไปแล้ว กลับบ้านตรวจปัสสาวะได้เลย เพราะยาทั้ง 3 ชนิด เป็นการล้างสารพิษ หรือ ดีท็อกซ์ ออกทางรูเหงื่อ และระบายออก เรียกว่า “เครื่องปิ๊ง” เลย...

ช่วงบ่ายโมง เราจะให้ผู้ป่วยนั่งสมาธิ พร้อมกับเทศน์สอนไปด้วย เพื่อให้เห็นคุณค่าของชีวิต ว่าเพราะเหตุใด ทุกคนต้องมาอยู่รวมกันตรงนี้ หากแก้ไขได้ จะกลับไปแก้อะไร เวลา 15 วันเป็นการเปิดโอกาสให้อยู่กับตัวเอง ทบทวนสิ่งที่ผิดพลาด ที่ตัวเองอยากสำนึก หรือทำให้คนอื่นเดือดร้อน แต่...วันเวลาที่อยู่กับเรามันสั้น ฉะนั้น สิ่งสำคัญคือ ตอนกลับออกไป หากครอบครัว หรือสังคมไม่ให้โอกาส หรือเฝ้าระวัง ก็มีโอกาสกลับมาใหม่ 

...

สิ่งสำคัญในการ “บำบัดยาเสพติด” คือ ขั้นตอนหลังการรักษา 

สิ่งที่อยากจะฝาก คือ ขั้นตอนหลังการรักษายาเสพติด หากรักษามาแล้ว ต้องรู้จักปรับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ เปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อป้องกันไม่ให้กลับมาเสพใหม่ 

เคยไหม....เข้าไปดูแลลูกหลังรักษา ในกระเป๋า เสื้อผ้า มียาเสพติดไหม มุมมองที่เคยนั่งสูบ หรือเสพ เปลี่ยนได้ไหม จัดใหม่ได้หรือไม่ เพื่อไม่ให้มีสภาพเดิมๆ เรื่องเหล่านี้เรียกว่าเป็น “ยุทธการช่วงชิง” 

ถ้าไม่ช่วงชิง เราจะเสียเวลา เงินทอง ฉะนั้น สิ่งสำคัญของการบำบัดยาเสพติด คือ รักษาแล้วต้องหาย และทำอย่างไรให้เลิกได้ 

อุทาหรณ์ “น้ำพุ” 3 เหตุการณ์จุดเปลี่ยนสำคัญ 

หากเราเคยดูหนังเรื่อง “น้ำพุ” เราจะพบว่า มีเหตุการณ์สำคัญที่เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตน้ำพุ คือ 

1. วันที่ น้ำพุ กลับมาบ้าน หลังการรักษา น้ำพุ เดินมาบอกกับแม่ว่า... 

“พุเลิกได้แล้วครับ” 

“แม่ไม่ว่าง แม่จะไปสัมมนา” 

นี่คือหนึ่งฉากชีวิตที่พลาดไปแล้ว 

2. น้ำพุ เดินไปหาน้องที่เป็นผู้หญิง 

“พุ แกอย่าเข้ามา พวกเรากำลังทำเรื่องส่วนตัวกัน” 

น้ำพุ เดินออกไป... 

3. พุโทรหาเพื่อน เพื่อนตอบว่า 

“วันนี้ฉันไม่ว่าง เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันมาหา...” 

สุดท้าย “น้ำพุ” เดินเข้าห้องตัวเอง ไปเจอยาเสพติดที่เคยทิ้งไว้ใต้เตียง บ้านยังไม่ถูกทำความสะอาด 

“ร่างกายน้ำพุถูกล้างสะอาดมาหมดแล้ว แต่มาเจอยาเสพติด ใช้ยาเสพติดในจำนวนเท่าเดิม กลายเป็นโอเวอร์โดส ช็อกตายทันที” 

...

คำถามคือ “น้ำพุ” ตายเพราะอะไร?

เลิกไม่ได้ใช่ไหม

ยาเสพติดค้างอยู่ในบ้าน ใช่ไหม เพราะไม่มีใครทำความสะอาดห้อง 

หรือเขาตายเพราะเขาไม่มีที่ยืนในสังคมครอบครัว...

รองเจ้าอาวาสวัดถ้ำกระบอก เผยว่า ที่ผ่านมา มีกลุ่มนักศึกษามาถ่ายสารคดี เรื่องน้ำพุ อยู่บ่อยครั้ง อาตมาก็เคยถามว่า ทำไมไม่สร้างสารคดี ที่น้ำพุ ไม่ตายบ้าง 3 เหตุการณ์ที่น้ำพุเจอนั้น ถูกเปลี่ยนไปจะเป็นอย่างไร เพื่อช่วงชิง ให้น้ำพุ กลับคืนมา 

สิ่งที่จะบอกคือ ช่วงเวลา หลังการรักษา เป็นสิ่งที่สำคัญมาก...

ทิ้งท้ายให้คิด กับกฎหมายใหม่ 

มีหลายเคสที่มารักษา แล้วคนที่รักษานั้นรู้สึกผิด ถึงกับร้องไห้...

ผู้ชายคนหนึ่งมารักษา ก่อนจะเข้ามา ยังเสพยาเสพติดอยู่ โดยเอาเงินที่เป็นค่านมของลูก ไปซื้อยาเสพติด และระหว่างนั่งสมาธิ เขาก็ร้องไห้ออกมา เขารู้สึกเสียใจมาก ไม่น่าทำอย่างนี้เลย.. 

สิ่งที่เราช่วย คือ ทำให้เขาเกิดจิตสำนึกให้ได้ เพื่อให้เขาวางแผนดำเนินชีวิตใหม่ 

ไม่มียาอะไรที่ช่วย และรักษาเขาให้หายขาดได้ นอกจาก “สำนึก” ด้วยตนเอง 

พระอาจารย์วิจิตร ทิ้งท้ายว่า การที่กฎหมายใหม่ บอกว่า จะให้ “โอกาส” เขา ส่วนตัวมองว่าเป็นการให้โอกาส “ผิดประเภท” ซึ่งแบบนี้อาจจะไม่ได้แก้ปัญหา แต่อาจจะเป็นการเพิ่มปัญหา เพราะการแก้ปัญหาที่แท้จริง คือ ทำให้กลุ่มคนเหล่านี้ยุติการใช้ ถ้าไม่มีลูกค้า จะมียาเสพติดได้อย่างไร... 

ผู้บริโภค เกิดจากอะไร เพราะไม่สามารถเลิกได้..

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน

ที่มารูป : FB วัดถ้ำกระบอก 

อ่านบทความที่น่าสนใจ