หนุ่มกรุงเทพฯ หันหลังชีวิตเมือง เข้าสู่วิถีเกษตรผสมผสานพอเพียง ทำเกษตร 0 บาท ไร้รายจ่าย ปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ ขายปุ๋ย บางคนมอง อนาถา แต่ความจริง คือ โคตรสุข!

เวลานี้ คนเมืองกรุงฯ กำลังเผชิญหน้ากับ “ฝุ่นพิษ” PM 2.5  

และในฐานะ “มนุษย์เงินเดือน” สภาพอากาศเลวร้ายขนาดไหน ก็ต้องออกจากบ้านไปทำงาน เพื่อหาเงินมาเลี้ยงปากท้อง คนในครอบครัว อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

หากมีโอกาส... หลายคนมีความฝัน จะซื้อที่เล็กๆ สักผืน ปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ ทำอาหารกินเองโดยไม่ต้องเสียเงินซื้อ 

แม้ฝันเล็กๆ ดังกล่าว จะไม่ยาก แต่มันก็ไม่ง่าย ที่จะใช้ชีวิตจริงๆ แต่...ก็มีคนทำได้ และบุคคลตัวอย่างของเราวันนี้ คือ นายจิรศักดิ์ เข้มบุญศรี หรือ พี่เก่ง เจ้าของสวนเกษตร ที่หมู่ที่ 9 ตำบลวังน้ำเขียว อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ซึ่งถือเป็นคนกรุงเทพฯ ตั้งแต่กำเนิด แต่อยากใช้ชีวิต สโลว์ไลฟ์ ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ ในที่ดินผืนน้อยของตนเอง

...

หันหลัง “มนุษย์เงินเดือน” ไม่อยากเก็บขวดขายยามแก่

พี่เก่ง เล่าว่า เขาเป็นคนกรุงเทพฯ ตั้งแต่เกิด และก็เหมือนชาวบ้านทั่วไป ที่เริ่มทำงาน กับบริษัทแห่งหนึ่งตามปกติ จนกระทั่งอายุ 30 ปี รู้สึกว่า ถ้าแก่ตัวไป ในอาชีพพนักงานบริษัทก็คงได้เงินจากประกันสังคมไม่กี่บาท ชีวิตตอนแก่ คงอาจจะต้องไปเก็บขวดขายแน่ๆ เพราะเราอยู่ที่บ้านทาวน์เฮาส์ และหากไม่มีที่ดินคงลำบาก

“ด้วยความคิดแบบนี้ จึงคิดว่า เราควรจะหาที่ทางสักผืน เพื่อสร้าง “คลังอาหาร” ของตนเอง” 

นายจิรศักดิ์ เล่าต่อว่า เมื่อคิดได้เช่นนี้ จึงค่อยๆ เริ่มเก็บเงิน จนกระทั่งอายุ ประมาณ 37 ปี ก็เก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง ราว 150,000 บาท จึงตัดสินใจซื้อที่ดินผืนหนึ่ง ที่กำแพงแสน ประมาณ 211 ตารางวา หรือ 2 งาน จากนั้น ก็หาความรู้ด้วยการศึกษาวิธีการเพาะปลูกไปเรื่อยๆ ก่อน โดยเริ่มจากไม่มีพื้นฐานความรู้เลย ฉะนั้น สิ่งที่เราจะทำในช่วงแรก คือ การหากูรู หาคนที่รู้จริงเรื่องต่างๆ ในการปลูกพืช 

เริ่มต้นด้วยพืช 2 ชนิด ลองผิดลองถูก หนึ่งสำเร็จ อีกหนึ่งล้มเหลว  

อดีตคนเมืองกรุง อย่างจิรศักดิ์ อธิบายว่า เขาได้ลองผิดลองถูกในการทำเกษตร โดยเริ่มต้นจากการปลูกพืช 2 ชนิด คือ “ไผ่ตงลืมแล้ง” ซึ่งช่วงนั้นเวลาขายค่อนข้างแพง ไม่ค่อยมีศัตรูพืช และไม่ต้องดูแลมาก และเรามาทำการขยายพันธุ์ ด้วยการตอนกิ่งขาย ก็ขายได้ดีระดับหนึ่ง 

ส่วนพืชอีกชนิดที่เราทำ คือ การปลูกผักบุ้ง จำนวน 1 งาน ผลปรากฏว่า เราใช้เวลาในการปลูกประมาณ 28 วัน ขายได้ พันกว่าบาท แต่...เราต้องเจอปัญหาอาการป่วย (ไข่ดัน) เพราะต้องต้องนั่งยองๆ ถอนผักบุ้ง ตัดเยอะ ด้วยที่เราไม่เคยทำมาก่อน ก็เลยอาการกำเริบ และต้องเลิกปลูกไป ส่วนหนึ่ง เพราะรายได้ที่เราทำนั้น “ไม่คุ้มค่า” 

เมื่อถามว่า ตอนแรกก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นปลูกพืชเชิงเดี่ยว? พี่เก่ง บอกว่า ใช่ครับ ตอนแรกเราทำแค่ 2 ชนิด อย่างละครึ่งๆ เมื่อลงมือทำจริง ผลที่ได้คือ “ไม่เวิร์ก” เราขายผักบุ้งเดือนละพันกว่าบาทแล้วเราจะอยู่อย่างไร...ข้าวสาร ถังหนึ่งก็ 400 กว่า น้ำปลา น้ำตาล หักลบแล้ว ไม่พอประทังชีวิต 

“เราเริ่มจากความรู้เป็นศูนย์ พอเริ่มลงมือทำก็หาความรู้ไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้ยึดติดกับทฤษฎี ไปอบรมกับสถานที่ต่างๆ แล้วนำกลับมาประยุกต์ใช้ในแบบตนเอง จนรู้ว่า สิ่งที่ควรทำมากที่สุด คือ การ “ลดรายจ่าย” ด้วยการปลูกพืชผสมผสานหลายๆ ชนิดดีกว่า เพื่อที่ว่า เราจะได้ไม่ต้องออกไปซื้อกับข้าว 

...

ปลูกพืชผสมผสาน เลี้ยงสัตว์ เป็ด ไก่ ปลา ไม่ต้องออกจากบ้านก็มีของกิน

พี่เก่ง จิรศักดิ์ บอกว่า ตอนที่เราเลือกซื้อที่ดิน เราเลือกที่ใกล้กับคลองชลประทาน ฉะนั้น การออกแบบพื้นที่ของเรา จะมีน้ำเป็นปัจจัยหลักอยู่แล้ว เมื่อมีน้ำ ทุกอย่างก็สามารถทำได้ เราเลือกปลูกพืชแบบผสมผสาน เพื่อเป็นการเฉลี่ยความเสี่ยง เลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ จะได้มีไข่ไว้รับประทาน เลี้ยงปลานิล และปลาอื่นๆ ไว้กิน ซึ่งปลาเหล่านี้ส่วนมากจะเป็นปลากินพืช จึงไม่จำเป็นต้องเสียเงินไปซื้อหัวอาหารมาเลี้ยง...

“เราใช้ทฤษฎีเกษตรพอเพียง ในแบบผสมผสาน ในการทำสวนเล็กๆ ขนาด 2 งานของเรา โดยการสเกตช์แผนไว้ว่า ที่ดินเราใกล้กับคลองชลประทาน แค่ถนนกั้น เราแค่ขุดท่อลอดใต้ถนน เราก็สามารถนำน้ำมาใช้ได้แล้ว โดยที่เราไม่ต้องลงทุนมากมายอะไร” 

เกษตร 0 บาท จ่ายเงินน้อย เก็บเงินได้ 

นายจิรศักดิ์ เผยว่า ตอนนี้รายได้ของเรา จะมาจาก 2 ทาง คือ การขายพันธุ์ผัก ปุ๋ยหมักจากมูลไส้เดือน ซึ่งช่วงแรกก็รายได้ดีอยู่ สามารถเก็บเงินไปซื้อที่ดินได้อีก 2 แปลง ซึ่งเราดูไว้ที่จังหวัดข้างเคียง 

...

“แต่พอมาช่วงโควิด ระบาด พันธุ์ผัก พืชผัก ก็ขายยากขึ้น เราก็เลยมาทำงานด้านศิลปะ คือ งานปั้นเซรามิก ขายด้วย ก็เรียกว่า รายได้จึงมาจาก 2 ทาง แต่ละทาง ก็เฉลี่ยอย่างละ 50% ซึ่งก็ถือว่าตรงเป้าหมายของเราตั้งแต่แรก เพราะการปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ มีเป้าหมายคือการ “ลดรายจ่าย” อยู่แล้ว”

พี่เก่ง บอกว่า เกษตรของเรา คือ เกษตร 0 บาท คือไม่มีรายจ่ายในการทำเกษตรเลย ปัจจุบัน เสียค่าไฟเดือนหนึ่ง 60-100 บาท เพราะใช้ไม่ถึง 50 หน่วย เพราะติดโซลาร์เซลล์ เงินที่ใช้หลักๆ คือ การซื้อข้าวสาร เพราะเราไม่ได้ปลูกข้าว หรือถ้าเป็นน้ำตาล บางครั้งเราก็ปลูกอ้อย ทำน้ำเชื่อมออกมา กินกับกาแฟ ซึ่งปัจจุบัน ลดการกินหวาน ก็ไม่จำเป็นต้องปลูก เพราะแทบไม่ได้ใช้

“เงินที่ได้ก็มีหลากหลายทาง บางครั้งได้เงินจากการเป็นวิทยากร งานเซรามิก รวมถึงงานเกษตร ซึ่งงานเกษตรบางครั้งก็ไม่แน่นอน เช่น ไปขายผลผลิตในงานเกษตรแฟร์ เราก็ได้เงินนับแสนบาท หรือบางเดือนขายออนไลน์ ในแอปฯ ช็อปปิ้ง ก็ได้มาเรื่อยๆ”

ไม่รวยเงิน แต่รวยสุข 

...

พี่เก่ง บอกว่า เวลานี้รู้สึกว่ามีความสุขมาก ได้กินอยู่อย่างเรียบง่าย ไม่จำเป็นต้องคิดถึงรายได้ แฟนผมก็ลาออกจากงานที่กรุงเทพฯ มาเรียนรู้เรื่องศิลปหัตถกรรม เช่น ทำพวงมาลัย จากกระดาษทิชชู่ ส่วนลูก 2 คน คนหนึ่ง อายุ 18 ปีแล้ว เรียนที่ กทม. อีกคนอยู่ที่สวน เพิ่งได้ 2 ขวบ 

“บางคน ว่า วันๆ ทำอะไร อดอยาก อนาถา หรือเปล่า...มีกินไหม ชาวบ้านบางคนก็มองเขามา และพูดแบบนี้ บางคนถึงขั้นเอาไข่มาแบ่งให้กิน เราก็ปฏิเสธ” 

ไม่อยากรวยหรือ... นายจิรศักดิ์ ตอบด้วยน้ำเสียงอิ่มเอมว่า “ถ้ารู้จักเก็บ ก็อยู่ได้นะ ผมใช้ชีวิตแบบนี้ ผมก็มีเงินซื้อที่ดินได้อีก 2 ผืน โดยเราเลือกซื้อไว้ 2 แปลง ที่เพชรบุรี และราชบุรี ซึ่งที่ดินตรงนี้มันคือสินทรัพย์ คนที่ทำเกษตรแล้วรวยได้ ส่วนหนึ่งต้องมีที่ดิน แต่อย่างผม ผมไม่รวยหรอก แต่มีความสุข ไม่ขัดสน มีความสุข ได้ใช้ชีวิตอย่างที่ตัวเองต้องการ  

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ 

อ่านบทความที่น่าสนใจ