เป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงในโลกโซเชียลฯ อย่างมากเวลานี้ สำหรับเรื่องเล่า “ระลึกถึงเก้าปี” ผ่านรายการ THE GHOST RADIO โดยมีที่มาจากเหตุการณ์จริงคดีเด็กนอนกอดศพแม่ 3 วัน โดยเรื่องดังกล่าว ถูกเล่าผ่านชายที่เรียกว่าพ่อ หรือ คุณ “เบื๊อก ณัฏฐ์ ณัฏฐ์ฐากรณ์”

เรื่องราวสุดแสนประทับใจ และชวนขนลุกนี้ ต้องย้อนเหตุการณ์ไป เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 2555 หลังพบศพ นางอรณัชดา ไทยสกุลทอง หญิงสาววัย 35 ปี ที่มีลูกสาววัย 2 ขวบเศษก็คือ “น้องกอหญ้า” โดยเธอเสียชีวิตภายในบ้านย่านบางมดจากโรคประจำตัวกำเริบ

สิ่งที่น่าแปลกใจมากในเวลานั้น คือ ภายในบ้านพบหนูน้อย ก็คือ “น้องกอหญ้า” ลูกสาวของเธอในสภาพเนื้อตัวเปื้อนเลือด แต่...สภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงดี พร้อมบอกว่าตลอดเวลาแม่คอยชงนมให้กิน และนอนกอดแม่ทุกวัน

แต่จากการชันสูตรศพพบว่าผู้ตาย อาจจะเสียชีวิตมา 3 วันแล้ว (คาดว่าเสียชีวิตตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 11 พ.ย. มาพบศพวันที่ 14 พ.ย.)

หลังจากเหตุการณ์นี้ผ่านมานาน 9 ปี คุณเบื๊อก สามีได้นำเรื่องนี้ไปเล่าในรายการ THE GHOST RADIO พร้อมบอกเล่าเบื้องหลังความรัก ความอบอุ่น และสายใยรักระหว่างแม่และลูก ถึงแม้แม่จะจากไปแล้ว แต่วิญญาณเธอยังคงอยู่ร่วมชายคาเดียวกันมาเกือบ 2 ปี กระทั่งวันสุดท้ายที่ได้ร่ำลากัน ในปี 2557

กับทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ได้ติดต่อพูดคุยกับ คุณเบื๊อก พร้อมเล่าให้ฟังว่า เวลานี้น้องกอหญ้า อายุ 11 ขวบแล้ว ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ชั้น ป.6 เป็นเด็กดี ร่าเริงแจ่มใส และขยันมาก คอยช่วยขายเกาเหลา ซึ่งตอนนี้คืออาชีพของผม (คุณพ่อพูดถึงลูกด้วยความภาคภูมิใจ)

...


ย้อนเรื่องราวชวนขนลุก ทุกอย่างล้วนอยู่ในความทรงจำ

ทีมข่าวฯ ขออนุญาตคุณเบื๊อก ให้เล่าเรื่องราวในอดีต ถึงแม้จะเป็นเรื่องราวที่เจ็บปวด ซึ่งคุณเบื๊อกก็ยินดีที่จะเล่า และอนุญาตให้ทีมข่าวฯ ใช้รูปของน้องกอหญ้า

คุณเบื๊อก เล่าว่า ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจจะนำเรื่องนี้ไปเล่าผ่านรายการผีแต่อย่างใด เพียงแต่ว่า นึกถึงเขา และวันหนึ่งลูกโตขึ้น ก็อยากให้ลูกได้กลับมาฟังเรื่องที่เล่า หรือวันหนึ่งเราจากไปเขาจะได้นึกถึงเรา

ความจริงน้องกอหญ้ารับรู้ทุกอย่าง ทุกเรื่อง และจำเรื่องราวได้ทั้งหมด ถึงแม้ตอนนั้นเขายังเป็นเด็ก อายุแค่ 2 ปี 10 เดือน

วันนั้นสิ่งที่ผิดสังเกตอย่างเด่นชัดเลย คือ เสื้อผ้าน้องกอหญ้าเต็มไปด้วยเลือดเพราะเขากอดศพแม่ แต่หน้าตา ผิวพรรณน้องไม่ได้ดูโทรม ไม่เหมือนเด็กหิวโซ ไม่มีอาการเพลียใดๆ

เจ้าหน้าที่ถามน้องกอหญ้าว่า “หนูอยู่ยังไง”
น้องกอหญ้าตอบว่า “หนูอยู่กับแม่”
“แม่เป็นคนชงนมให้หนูกิน แม่อยู่กับหนู แต่แม่เลือดไหล แม่ไม่สบาย”
เด็กวัย 2 ขวบเศษบอกกับเจ้าหน้าที่อย่างไร้เดียงสา
ตอนที่ตำรวจเดินทางมาถึง แม่บอกกับหนูว่า
“ตำรวจมาแล้ว...เดี๋ยวแม่เดินไปส่งนะ หนูไปกับเขานะลูก แม่ต้องไปโรงพยาบาล”
นี่คือคำพูดลูกสาวที่บอกกับคุณเบื๊อกในเวลาต่อมา

คุณเบื๊อก ยังเล่าต่อว่า สิ่งที่เป็นข้อผิดสังเกตอีกอย่างคือ ประตูบ้านที่เป็นแบบบานเลื่อน “กอหญ้า” ตัวนิดเดียว คงไม่สามารถเปิดเองได้ คิดว่าน่าจะมีใครมาช่วยเปิดให้

ชาวบ้านแถบนั้น แทบไม่มีใครเชื่อเลยว่าแม่ของกอหญ้าจะเสียชีวิต เพราะบ้านทาวน์เฮาส์มีกำแพงติดกัน จะได้ยินเสียงแม่ลูกเล่นกันตลอดเวลา โดยเฉพาะช่วงเช้าตั้งแต่ตอนตี 5 พอช่วงสายๆ บ้านที่ติดกันด้านหลัง ก็จะเห็นเธอมาล้างขวดนม ซึ่งก็เห็นชัดเจน เหมือนร่างคนปกติ บางครั้งเมื่อคนมองเข้าไปในบ้านก็จะเห็นเป็นรูปร่างคนปกติ เดินไปมาภายในบ้าน

“ผมเสียใจมากๆ ที่ไม่ทันได้ดูแล แม้เราจะเลิกรากันแต่เราก็ไปมาหากันตลอด เพราะเรามีลูกต้องดูแลร่วมกัน วันที่จัดงานศพ ผมนั่งร้องไห้เหมือนคนบ้า แต่ไม่กล้าเข้าไปในงาน ไม่มีใครรู้ว่าผมนั่งจุดธูปไหว้อยู่ข้างนอก วันที่เผาศพ ผมก็ไม่กล้าเข้าไปในงาน ไปหาสะพานลอยสูงๆ หน้าวัด เพื่อที่จะมองปล่องควัน” ความรู้สึกจากส่วนลึกในใจที่กลั่นออกมาเป็นคำพูด เมื่อนึกถึงอดีตภรรยาที่เสียชีวิต

...

ลางบอกเหตุ เสียงเรียกจาก “แม่” ถึง 3 ครั้ง

ทีมข่าวถามคุณเบื๊อกว่า ก่อนที่เธอจะเสียชีวิต มีลางบอกเหตุอะไรหรือไม่ พ่อน้องกอหญ้า ตอบว่า วันนั้นจำได้แม่น วันที่ 11 พ.ย. ผมกำลังจะขับรถออกจากบ้าน จู่ๆ ผมได้ยินเสียงแม่ของเธอ เรียกชื่อผม “เบื๊อก” เรียกแบบนี้ถึง 3 ครั้ง ซึ่งก็ไม่ได้เอะใจ

จากนั้นก็ได้โทรคุยกับเธอ เธอก็รับสาย เราเตือนให้เขากินยา เพราะเขาป่วยเป็นโรคลมชัก จากนั้น ผมก็โทรหาเขา แต่ไม่มีคนรับสาย กระทั่งมารู้ว่าเธอจากโลกนี้ไปแล้ว

เบื้องหลังลูกสาวมาอยู่อ้อมกอด ตอนที่เงินติดตัวแทบไม่มี

“วันที่ได้ลูกสาวมาอยู่ในอ้อมกอด เป็นวันที่เขาแทบไม่มีเงินติดตัวเลย”

คุณเบื๊อก เล่าว่า ช่วงชีวิตเวลานั้นถือเป็นช่วงที่กำลังลำบาก เงินที่หาได้จากการทำงาน ก็นำไปใช้จุนเจือครอบครัว ตอนนั้นพ่อก็ป่วย กระทั่ง วันนั้นศูนย์ประชาบดีโทรหา เชื่อไหม...วันนั้นมีเงินทั้งตัวแค่ 150 บาท

ศูนย์ประชาบดีถามผมว่า “คุณเอาลูกมาเลี้ยงได้ไหม”
“ผมอยากเลี้ยงกอหญ้า ผมเลี้ยงเขาได้แน่นอน”

คุณเบื๊อกตอบศูนย์ประชาบดีแบบนั้น แต่หลังจากนั้นเขาก็ไปประชุมหารือเรื่องนี้กันต่อ ส่วนหนึ่งก็เข้าใจว่า เคสลักษณะนี้ ที่พ่อแม่เลิกกัน เราเองก็อยู่ห่างกับลูก การที่จะได้ลูกมาเลี้ยงเป็นเรื่องที่ยาก

เขาประชุมเรื่องนี้ 3 ชั่วโมง เขาอาจจะคิดว่า วันหนึ่งพ่ออาจจะไม่เลี้ยงลูกก็ได้ แต่ในใจผมตอบเรื่องนี้ว่า “ถึงจะไม่เงินก็ต้องเลี้ยงลูกคนนี้ให้ได้ ผมไม่ได้เป็นคนใจหมาขนาดทิ้งลูกได้ ตัวผมไม่อิ่ม ลูกต้องอิ่ม ผมคิดแบบนี้ และคิดว่าทำไมเขาต้องประชุมเรื่องนี้กันด้วย หรือเพราะเราคิดเข้าข้างตัวเองเกินไป

...

“เรื่องนี้ไม่เคยพูดที่ไหนเลย แม้แต่รายการ “คนอวดผี” ตอนนั้น ผมแต่งตัวใส่ชุดทำงาน เรียกว่าแต่งตัวดีระดับหนึ่ง วันนั้น คุณริว (ริว จิตสัมผัส) จุดธูปดอกหนึ่ง คุยกับแฟนผม

ตอนนั้นผม 50/50 แต่พอคุณริวเอียงหูไปเหมือนฟังแฟนผม จากนั้นก็พูดขึ้นว่า
“เขาเป็นห่วง”
“อ๋อ...ไม่ต้องห่วงผมครับ ผมดูแลลูกได้”
“ไม่ใช่ห่วงลูก เขาห่วงคุณ เพราะสภาพคุณก็ไม่พร้อม แต่คุณก็ยังอดทนเอาลูกมาเลี้ยงเองอีก”
ผมได้ยินคำนั้น ผมร้องไห้ในรายการเลย รู้สึกจุก เพราะเรื่องนี้ไม่เคยบอกใคร และเชื่อเลยว่าเธอยังอยู่จริงๆ

ถึงเวลาร่ำลา กับการเดินทางสู่สุคติ

หลังจากได้ลูกสาวมาเลี้ยงดูที่ครอบครัว ก็เชื่อว่าวิญญาณเธอ ได้มาอาศัยอยู่ที่บ้านเดียวกันด้วย  

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่เชื่อว่าเธอออกมาเตือน คือ เขาอาจจะพูดผ่านลูก วันนั้นผมจะขับรถออกไปข้างนอก (ไปไหนสักที่จำไม่ได้) จู่ๆ กอหญ้าก็พูดขึ้นมาว่า “อย่าไป” “ไม่!...อย่าไป” วันนั้นผมจึงอยู่บ้านไม่ไปไหนเลย ซึ่งถ้าออกจากบ้านก็ไม่รู้ว่าจะเจออะไร

...

วันหนึ่งในปี 2557 วันนั้น “กอหญ้า” นอนดูการ์ตูนอยู่ด้านล่างของบ้าน จู่ๆ ก็บอกว่าจะขอขึ้นไปข้างบนห้อง ผมก็เลยแอบขึ้นไปฟัง...ได้ยินเสียงคุยกันสักพักก็เงียบลง

ในห้องไม่ได้เปิดพัดลม แต่เมื่อเปิดห้องเข้าไปผ้าม่านก็พลิ้วไหวขยับ เหมือนมีอะไรผ่านไป ลักษณะกระเพื่อมๆ “กอหญ้า” มองผ้าม่าน และร้องไห้ แล้วหันมามองหน้าผม แล้วเข้ามากอด แล้วพูดว่า..

“พ่อ...แม่ไม่อยู่แล้วนะ แม่มาลา บอกหนูว่า “หนูต้องเป็นเด็กดี ขยัน และรักพ่อมากๆ นะลูก เพราะว่าแม่ไม่ได้อยู่ดูแลหนูนะ แม่ต้องไปแล้ว พ่อ...หนูไม่เหลือใครแล้วนะ หนูเหลือพ่อคนเดียว”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ คุณเบื๊อกได้เงียบหายไปสักครู่ก่อนจะพูดต่อ

“ตอนนั้นเหมือนคนจะเป็นลม มีอาการวูบๆ รู้สึกใจหาย แม้เราไม่เห็นเขาแต่เราก็รู้สึกว่าเขายังอยู่ พอลูกพูดออกมา ผมรู้สึกว่าไม่มีกันอีกแล้ว รู้สึกใจหาย ในใจคิดว่า “อย่าเพิ่งไปได้ไหม...” ความรู้สึกเหมือนตอนหนึ่งที่เขาเคยเรียกผมว่า “อย่าเพิ่งไปได้ไหม”

อนาคต “กอหญ้า” และคำพูดที่อยากฝากถึงลูกในวันเติบใหญ่

สำหรับอนาคตของลูกสาว คุณเบื๊อก บอกว่า ไม่เคยบังคับเลย แม้กระทั่งการเรียน ไม่เคยส่งให้เรียนพิเศษ เพราะไม่อยากให้เขาหมกมุ่นเรื่องการเรียนมากเกินไป สัปดาห์หนึ่งเรียนเกือบ 40 ชั่วโมงก็หนักอยู่แล้ว

“พ่อไม่ได้อยากให้หนูเก่ง เป็นอันดับ 1 ของห้อง แค่ครูสั่งงาน ทำการบ้านให้เสร็จ วันหนึ่งกอหญ้าบอกว่า อยากเป็น “แอร์โฮสเตส” วันเวลาผ่านไป เขาก็มาบอกว่าอยากเป็น “เจ้าของร้านเกาเหลา” แทนพ่อ ผมเองไม่เคยหวังอะไรจากลูก หวังอย่างเดียวคือให้เขาเป็นคนดี ผมบอกเขาเสมอว่า ให้คนอื่น...อย่าเอาเปรียบคนอื่น”

เวลานี้ ลูกก็เป็นเด็กปกติ ร่าเริงแจ่มใส ไม่ใช่เด็กที่มีญาณวิเศษหรืออะไร ถ้าลูกได้อ่านเรื่องนี้ในอนาคต ก็ขอให้ใช้ชีวิตของตัวเองอย่างเต็มที่ ผมเชื่อว่า สิ่งที่เล่าในวันนี้เป็นเรื่องที่ดี เชื่อว่าคนที่ฟังเขาจะได้หันกลับมามองให้ความสำคัญกับครอบครัว

รายงานพิเศษชิ้นนี้ ถือเป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน

อ่านสกู๊ปที่น่าสนใจ